วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

บัญญัติ 10 ประการ สู่ชัยชนะของขบวนการกรรมกรไทยและประชาชนทั้งชาติ ในการสร้างประชาธิปไตย

พลิกบทบาทขบวนการกรรมกรไทย จากความอ่อนแอพ่ายแพ้มาสู่ความเข้มแข็งมีเอกภาพ สู่ ชัยชนะของขบวนการกรรมกรไทยและประชาชนทั้งชาติ

ถ้าไม่มีการพัฒนาการต่อสู้ของขบวนการกรรมกรให้มีความแหลมคมยิ่งขึ้นไมมีแนวทางและมาตรการเพื่อบรรลุความเข้มแข็ง เป็นเอกภาพของกรรกรก็ไม่สามารถนำประชาชนไปสู่ชัยชนะได้ การทำให้ขบวนการต่อสู้มีความเข้มแข็งเป็นเอกภาพได้นั้นเราต้องยอมรับในข้อเท็จจริง(fact) ก่อนว่าสถานการณ์ของการต่อสู้ในขณะนี้เป็นการต่อสู้กับอำนาจทางการเมืองเผด็จการรัฐสภาซึ่งกำลังใช้อำนาจที่มาจากการหลอกลวงประชาชนเป็นไส้ศึกให้ต่างชาติยึดกรรมสิทธิ์ของคนไทย เป็นเอเยนต์(agent)ให้ต่างชาติ เราตกอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้กับทุนข้ามชาติเป็นสงครามการรุกรานทางเศรษฐกิจจากต่างชาติซึ่งขบวนการต่อสู้ที่สามารถต่อสู้เอาชนะได้นั้นก็คือขบวนการกรรมกรไทยซึ่งมีขบวนการกรรมกรรัฐวิสาหกิจเป็นหัวขบวนจึงจะสามารถต่อสู้เอาชนะสงครามรุกรานทางเศรษฐกิจได้

“สถานการณ์ของขบวนการแรงงานไทยนั้นตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอไร้เอกภาพอย่างสิ้นเชิง”

เราต้องยอมรับอย่างคนที่ก้าวหน้าว่า“ความผิดพลาด ล้มเหลวของขบวนการแรงงานไทย คือสิ่งที่ดำรงอยู่จริง” ซึ่งเห็นได้จากการต่อสู้ที่พ่ายแพ้ตลอดมา ดังนั้น มาตราการเฉพาะหน้าก็คือต้องวิเคราะห์ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวผิดพลาดนั้นและเมื่อค้นพบสาเหตุของความล้มเหลวผิดพลาดแล้วจึงค้นหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา นั่นคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นเอง

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้านทั้งทางหลักการและบุคคลทั้งด้านแนวทางการเมืองและแนวทางการต่อสู้ ทั้งด้านโครงสร้างการจัดตั้งและด้านทฤษฎี ซึ่งครบทั้งด้านอัตตวิสัย และด้านภาววิสัย

สาเหตุที่เป็นรูปธรรมของความผิดพลาดล้มเหลวของขบวนการแรงงานไทยดังต่อไปนี้

1.มีแนวทางการเมืองที่ผิดคือ ใช้แนวทางการเมืองของเผด็จการรัฐสภา (นายทุน) ไม่มีแนวทางการเมืองที่เป็นอิสระของตนเอง

2.มีแนวทางการจัดตั้งตามโครงสร้างที่แบ่งแยก ทำลายความเป็นเอกภาพของขบวนการแรงงานไทยไม่มีองค์การระดับชาติที่เป็นอิสระ เป็นเอกภาพ ( Independent Organization )

3.มีแนวทางการต่อสู้ที่ผิดคือ ใช้แนวทางการต่อสู้ของนักเคลื่อนไหว นั่นคือการชุมนุมใหญ่ หรือ ม็อบ ซึ่งเป็นแนวทางของเผด็จการรัฐสภาไม่ใช่แนวทางการต่อสู้ของตนเองที่เป็นอาวุธอันทรงพลังสูงสุด นั่นคือ “การหยุดงานทั่วไป”(General Strike )

4.ไม่มีอาวุธทางความคิดที่แหลมคม ( Ideological Weapon ) หรือไม่มีอุดมการณ์ที่ถูกต้องคือ “ลัทธิประชาธิปไตย” ( Democracy )

5.ไม่มีนักวิชาการอิสระของขบวนการแรงงานไทยเอง ไม่มีผู้นำแรงงานที่แท้จริงรับเอาแต่นักวิชาการเผด็จการมาเป็นผู้นำทางความคิดทฤษฎีของขบวนการแรงงานคือไม่มีผู้รู้ทฤษฎี ( Theoretician) ไม่มีนักยุทธศาสตร์ ( Strategist ) และไม่มีนักจัดตั้ง( Organizer )

6.อยู่ในลัทธิสหภาพ ( TradeUnionist ) อยู่ภายใต้กฎหมายของระบอบเผด็จการรัฐสภา ทั้ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ปี 2518 ที่บังคับใช้ต่อแรงงานเอกชน และ พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจปี 2543 ที่บังคับใช้ต่อแรงงานรัฐวิสาหกิจ

7. ขึ้นต่อองค์การแรงงานต่างชาติ ( ILO, NGO ) ไม่สัมพันธ์แบบอิสระเป็นตัวของตัวเอง ทั้งด้านความคิดและด้านการเงินเป็นต้น

8.ใช้ศัพท์ผิดหลักวิชาคือ “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งหมายถึงชาวนาและผู้ใช้แรงงานอิสระทั่วไปไม่ใช้คำว่า “กรรมกร” ซึ่งหมายถึงผู้ใช้แรงงานรับจ้างในอุตสาหกรรมสมัยใหม่( Wage Laborer ) จึงไม่มีจิตสำนึกระลึกรู้ความสำคัญหน้าที่และภารกิจของตนเองทั้งด้านเศรษฐกิจ และ ด้านการเมืองผู้นำกรรมกรเป็น “ผู้นำกรรมกรที่เป็นตัวแทนเผด็จการรัฐสภา(นายทุน ) หรือ ผู้แทนเผด็จการรัฐสภาในขบวนการกรรมกร” นั่นคือรักษาผลประโยชน์ให้แก่เผด็จการรัฐสภา(นายทุน)ถ่ายเดียว

9.ผู้นำกรรมกรมีความกลัว ( Fearfulness) ไม่มีความทุ่มเท เสียสละ และกล้าสู้ไม่กล้าชนะ จิตใจห่างไกลโมกษธรรม

ฉะนั้นเมื่อเราทราบสาเหตุที่แท้จริงทั้ง 10 ประการแล้ว จึงจะสามารถแก้ปัญหาขบวนการแรงงานให้เข้มแข็งเป็นเอกภาพได้ด้วยการปฏิบัติมาตรการที่เป็นรูปธรรมดังนี้ คือ

1.แนวทางการเมืองของขบวนการกรรมกรไทยที่ถูกต้องที่มีอยู่แล้วคือ “แนวทางแก้ไขปัญหาของชาติของขบวนการกรรมกรไทยที่สรุปขึ้นจากผลการประชุมอภิปรายของผู้แทนกรรมกรทั่วประเทศ ณ ลุมพินีสถานเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518”

2.แนวทางการจัดตั้งระดับชาติที่มีความเป็นอิสระเป็นเอกภาพของขบวนการกรรมกรไทยซึ่งมีโครงสร้างการจัดตั้งที่ถูกต้องตามหลักการการจัดตั้งของสหประชาชาติ 5 ประการคือ อิสรภาพ เสรีภาพ เสมอภาพ ดุลย-ภาพ และสุขุมคัมภีรภาพ

3.แนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้องที่เป็นอาวุธอันทรงพลังที่สุดของขบวนการกรรมกรไทยคือ “หยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตย” ตามคำรายงานต่อที่ประชุมของสมัชชากรรมกรแห่งชาติเรื่อง “แนวทางการต่อสู้ของกรรมกรไทยกับการแก้ไขปัญหาของชาติ” ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ 1พฤษภาคม 2540

4.ต้องติดอาวุธทางความคิดด้วยการศึกษาหล่อหลอมอย่างเป็นระบบโดยมาตรการ “อธิบาย อธิบาย และอธิบาย”ลัทธิประชาธิปไตย (Democracy) อันเป็นการสร้างอุดมการ ( Ideology ) ให้แก่กรรมกรไทยเพื่อร่วมกันสร้างสังคมประชาธิปไตย อันเป็นอุดมคติ ( Ideal ) คือทั้งด้านปรัชญา ด้านรัฐศาสตร์ และด้านเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งความรู้ความเข้าใจลัทธิเผด็จการและลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย เพราะไม่รู้ลัทธิเผด็จการ และไม่รู้ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะไม่รู้ลัทธิประชาธิปไตย นั่นเอง

5. สร้างผู้นำกรรมกรและสร้างนักวิชาการกรรมกรอันเป็นผู้นำมวลชนประชาธิปไตย ให้มีความสมบูรณ์เพียงพอสามารถนำได้ครบทุกระดับ คือ นำทางการจัดตั้ง นำทางการเมือง นำทางความคิดและนำทางจิตวิญญาณ ผู้นำกรรมกรและนักวิชาการกรรมกรดังกล่าวจะมีความสมบูรณ์ในทางด้านจิตวิญญาณคือ มีอนัตตา(โมกษธรรม)เป็นจุดยืนทางจิตวิญญาณ มีจุดยืนประชาชนเป็นจุดยืนทางความคิด มีเอกภาพสมบูรณ์ของวัตถุนิยมและจิตนิยมเป็นทรรศนะมีเอกภาพสมบูรณ์ของวิภาษวิธีและอภิปรัชญาเป็นมรรควิธี ถือหลักปรัชญาจาก “เอกภาพด้านตรงข้าม…สู่…เอกภาพความแตกต่าง..สู่…เอกภาพสมบูรณ์”นั่นคือ “การประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง …อนัตตาทางจิตใจ ประชาธิปไตยทางสังคม”
6.ไม่ยอมจำนนอยู่ภายใต้ลัทธิสหภาพไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของนายทุนที่เป็นเผด็จการ ที่ทำลายความเป็นเอกภาพของกรรมกรโดยติดอาวุธทางความคิดด้วยลัทธิประชาธิปไตย และอาวุธทางจิตวิญญาณโดยขจัดความกลัวออกจากจิตใจ ให้บรรลุโมกษธรรม เกิดความไม่กลัว (Fearlessness) จัดตั้งองค์การระดับชาติที่เป็นอิสระของกรรมกรเองตามสิทธิรัฐธรรมนูญมาตรา45 นั่นคือ ทำให้เกิด “อิสรภาพทางจิตวิญญาณ …สู่…อิสรภาพทางความคิด…สู่…อิสรภาพทางการเมือง…สู่…อิสรภาพทางการจัดตั้ง”

7.ไม่ยอมขึ้นต่อองค์การแรงงานต่างชาติทั้งสิ้นโดยความสัมพันธ์อย่างถูกต้องตามหลักวิชา คือ สัมพันธ์แบบอิสระต่อกันไม่สัมพันธ์แบบขึ้นต่อกันที่ทำให้ไม่อิสระอ่อนแอ และยึดด้านชาติเป็นหลัก ถือด้านต่างชาติเป็นรอง ตามหลักพุทธศาสนา คือเป็นใหญ่ในตนเองหรือตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน นั่นเอง

8.ใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องคือ“กรรมกร” ( Labourer ) ตามนักปราชญ์ผู้บัญญัติศัพท์ “กรรมกร” คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ท่านได้อรรถาธิบายไว้ว่า “กรรมกร” เป็นผู้มีเกรียติคู่กับคำว่า “นายทุน” เพราะเป็นผู้สร้างระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมหรือระบบทุนนิยมขึ้นในโลก โดยนายทุนเป็นผู้ออกทุนและกรรมกรเป็นผู้ออกแรงไม่มีนายทุนก็ไม่มีกรรมกร ไม่มีกรรมกรก็ไม่มีนายทุนและขาดข้างใดข้างหนึ่งก็ไม่มีระบบเศรษฐกิจเสรี (ระบบทุนนิยม)นอกจากนายทุนกับกรรมกรจะช่วยกันสร้างระบบเศรษฐกิจเสรีแล้วยังร่วมกันสร้างประชาธิปไตยอีกด้วย โดยนายทุนเป็นผู้เสนอหลักการประชาธิปไตยกรรมกรเป็นผู้ผลักดันหลักการประชาธิปไตยให้มีผลทางปฏิบัติถ้าไม่มีหลักการประชาธิปไตยของนายทุน หรือไม่มีการผลักดันการสร้างประชาธิปไตยก็จะไม่มีระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุเหล่านี้ “กรรมกร”จึงมีเกรียติคู่กับคำว่า “นายทุน” ฉะนั้น เดิมทีคำว่า “กรรมกรจึงเป็นศัพท์ทางวิชาการที่ทางราชการนำมาใช้ เช่น ประกาศสำนักคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที 17 ธันวาคม พ. ศ. 2498 ให้ถือวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวัน “กรรมกรแห่งชาติ” และเป็นศัพท์ที่ใช้กันโดยทั่วไปด้วยเช่น สหบาลกรรมกร สหภาพกรรมกร สหอาชีวกรรมกร สมาคมกรรมกรไทย เป็นต้น ส่วนคำว่า “ชนกรรมาชีพ” (Proletariat ) นั้นเป็นศัพท์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งตรงข้ามกับศัพท์คำว่า “ชนชั้นกลางหรือกฎุมภี”

9.ยุติบทบาทของผู้นำกรรมกรที่เป็นผู้แทนนายทุนหรือผู้แทนนายทุนในขบวนการกรรมกรลงเสียโดยทันทีด้วยมาตรการเปลี่ยนความคิดและจุดยืนของผู้นำกรรมกรปัจจุบันให้เป็นกรรมกรอย่างแท้จริงและสร้างผู้นำกรรมกรรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ผู้นำจอมปลอมให้มากและเร็วที่สุด

10. ขจัดความกลัวจากหัวใจของผู้นำกรรมกรปัจจุบันโดยมาตรการติดอาวุธทางความคิดและทางจิตวิญญาณ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในสภาพ “ผู้นำกรรมกรล้าหลังกว่ามวลชนกรรมกร” หรือ “มวลชนมีความก้าวหน้ากว่าผู้นำกรรมกร”ฉะนั้นจะต้องสร้างความคิดและจิตใจให้เกิดขึ้นกับผู้นำกรรมกรปัจจุบัน

ด้วย“บัญญัติ 10 ประการ” ข้างต้นนี้ คืออาวุธวิเศษที่จะพลิกจากความอ่อนแอพ่ายแพ้มาสู่ความเข้มแข็งมีเอกภาพมาสู่ชัยชนะของขบวนการกรรมกรไทยทั้งมวลทั้งนี้เป็นการนำเสนอต่อผู้นำกรรมกรทั้งอดีตและปัจจุบัน และมวลชนกรรมกรที่ก้าวหน้าอันเป็นการพัฒนาการต่อสู้…. สู่…. ชัยชนะ ของประเทศชาติประชาชน!

โดย อนุสรณ์ สมอ่อน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น