ขบวนการกรรมกรไทย โดย สมัชชากรรมกรแห่งชาติและสถาบันวิชาการกรรมกรขอชี้แจงเสียก่อนแต่ในเบื้องต้นว่าคำว่า “ขบวนการ” นั้น ภาษาอังกฤษ คือ “Movement” ซึ่งมีความหมายว่า “ส่วนทั้งหมดที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน” ฉะนั้น ขบวนการกรรมกรไทยจึงหมายถึงส่วนทั้งหมดที่เคลื่อนไหวของกรรมกร ขบวนการกรรมกรไทยนั้นเกิดขึ้นตามพัฒนาการของยุคสมัยเมื่อโลกก้าวขึ้นสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีระบบทุนนิยมอันเป็นระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่เป็นรากฐานผู้ดำเนินการของระบบทุนนิยมคือ “นายทุนและกรรมกร”โดยนายทุนมีหน้าที่ออกทุน กรรมกรมีหน้าที่ออกแรงงาน กรรมกรคือผู้ที่ไม่มีปัจจัยการผลิตเป็นของตนเองดำรงชีวิตอยู่ด้วยค่าจ้างในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ดังนั้น ขบวนการกรรมกรไทย คือ ผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ดำรงชีพด้วยค่าจ้างซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมสมัยใหม่คืออุตสาหกรรมที่
ใช้พลังงานเครื่องจักร ไฟฟ้า ฯลฯ เช่น กรรมกรการรถไฟ กรรมกรโรงสีกรรมกรโรงงานกรรมกรทอผ้า กรรมกรรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
ขบวนการกรรมกรไทยได้ประกาศแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของตนเองขึ้นเป็นทางการเมื่อวันที่26 กันยายน 2518 ซึ่งสรุปขึ้นจากผลการประชุมอภิปรายของผู้แทนกรรมกรทั่วประเทศณ ลุมพินีสถาน แนวทางแก้ปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทยนี้เป็นแนวทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องสะท้อนความต้องการประชาธิปไตยของประเทศชาติและประชาชนในยุคสมัยใหม่ ดังนั้น ขบวนการกรรมกรไทยจึงได้ก่อรูปขึ้นอย่างสมบูรณ์ทันทีที่ประกาศแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทยเมื่อวันที่ 26 กันยายน2518
ฉะนั้น ขบวนการกรรมกรไทย คือ มวลกรรมกรที่มีแนวทางประชาธิปไตยเท่านั้นกรรมกรที่มีแนวทางคอมมิวนิสต์หรือแนวทางรัฐธรรมนูญ (เผด็จการรัฐสภา) ย่อมไม่ใช่ขบวนการกรรมกรไทย แต่เป็น กรรมกรคอมมิวนิสต์ หรือ กรรมกรเผด็จการ นั่นเองเมื่อโลกพัฒนาด้วระบบทุนนิยมจะเกิดขบวนการเสรีนิยม 3ขบวนการ คือ
ขบวนการรัฐธรรมนูญ
ขบวนการประชาธิปไตย
ขบวนการชาตินิยม
ขบวนการรัฐธรรมนูญ โดยเนื้อแท้ คือ ขบวนการเผด็จการนั่นเองมีลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นอุดมการขบวนการประชาธิปไตยมีลัทธิประชาธิปไตยเป็นอุดมการ และขบวนการชาตินิยมอาจเป็นไปได้ทั้งขบวนการเผด็จการและขบวนการประชาธิปไตยขบวนการกรรมกรไทยจึงสังกัดอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยซึ่งเป็นขบวนการเสรีนิยมขบวนหนึ่งของประวัติศาสตร์ยุคใหม่นั่นเอง
ฉะนั้นขบวนการกรรมกรไทยจึงมิได้สังกัดอยู่ในขบวนการรัฐธรรมนูญหรือขบวนการคอมมิวนิสต์แต่ขบวนการกรรมกรไทยสังกัดอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น
ขบวนการประชาธิปไตยนั้นได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยโดยพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตยซึ่งเป็นลัทธิการเมืองที่เกิดขึ้นจากระบบทุนนิยมมาประยุกต์เป็นพระบรมราโชบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินสยามอันเป็นพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง พระองค์ทรงสร้างประชาธิปไตยขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย คือเปลี่ยนรัฐสมัยเก่าเป็นรัฐชาติสมัยใหม่
การตั้งเป็นกระทรง ทบวง กรมการให้เสรีภาพ “ทรงเลิกทาส”การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เช่น ทรงตั้งรัฐวิสาหกิจตั้งการธนาคารเป็นต้น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่6) ได้ทรงขยายเสรีภาพ ให้การศึกษาประชาธิปไตยแก่ประชาชน ทรงตั้ง “ดุสิตธานี” จนได้รับการขนานพระนามจากชาวยุโรปว่า “DemocraticKing”หรือ “พระมหากษัตริย์ประชาธิปไตย”พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่7) ทรงกำลังสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้าย คือ ทรงสละอำนาจของพระองค์ให้แก่ราษฎรทั้งหลายนั่นคือ สร้างอำนาจอธิปไตยของปวงชน (Sovereignty of the People) นั่นเองโดยทรงตั้ง “สภากรรมกรองคมนตรี” ซึ่งทำหน้าที่เป็นสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวซึ่งเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลทำหน้าที่ในระยะผ่านไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยและทรงเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อรักษาการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ทรงสร้างสำเร็จแล้วนั้น แต่ได้เกิดเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475ขึ้นเสียก่อน พระราชภารกิจสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงสะดุดหยุดลงและถูกกลบฝังทับถมโดยขบวนการรัฐธรรมนูญหรือขบวนการเผด็จการ
รัฐสภามาจนกระทั่งปัจจุบันต่อมาโลกได้เกิดขบวนการคอมมิวนิสต์ขึ้น ประมาณศตวรรษที่18-19 โดย คาร์ลมาร์กซ์และเองเกลได้แผ่ขยายเข้ามาสู่ประเทศไทย จึงเกิดเป็นขวนการทางการเมืองขึ้นอีกขบวนการหนึ่งขึ้นในประเทศไทยคือ
ขบวนการคอมมิวนิสต์ ดังนั้น จึงมี 3 ขบวนการในประเทศไทย คือ
ขบวนการรัฐธรรมนูญ หรือ เผด็จการรัฐสภา
ขบวนการประชาธิปไตย
ขบวนการคอมมิวนิสต์
กรรมกรไทยได้ร่วมกันสืบทอดเอาพระราชภารกิจสร้างประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ที่ถูกทำลายลงเมื่อ 24 มิถุนายน2475มาประยุกต์เข้ากับสภาวการณ์ปัจจุบันสรุปขึ้นเป็น “แนวทางแก้ไปปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทย พ.ศ.2518” แนวทางแก้ไขปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทยเป็นแนวทางที่มีความถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ข้อพิสูจน์ความถูกต้องสมบูรณ์ของแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทยคือ กองทัพแห่งชาติได้นำเอาแนวทางนี้ไปประยุกต์ขึ้นเป็น “นโยบายแห่งชาติ”ในรูปของ“นโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์”ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 โดยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผลจากการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ที่ประยุกต์มาจากแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของ
ขบวนการกรรมกรไทยดังกล่าวแล้ว มีผลเอาชนะสงครามกลางเมืองคอมมิวนิสต์ รักษาชาติและราชบัลลังก์ไว้ได้เมื่อยุติสงครามแล้วกองทัพแห่งชาติได้ยุติการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่2 คือ สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ สถานการณ์ของประเทศชาติจึงต้องตกอยู่บนบ่าของกรรมกรไทยในปัจจุบัน
ดังนั้น ภารกิจการสร้างประชาธิปไตยจึงตกอยู่บนบ่าของกรรมกรไทยในปัจจุบันตามกฎเกณฑ์ของการสร้างประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ซึ่งเป็นกฎทั่วไป คือ กรรมกรต้องผลักดันการสร้างประชาธิปไตยจึงจะประสบความสำเร็จได้ถ้าปราศจากการผลักดันของกรรมกรจะไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้ นั่นคือการสร้างประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สำเร็จเพราะถูกขัดขวางทำลายลงเมื่อ 24มิถุนายน2475 ถ้ามีการผลักดันของขบวนการกรรมกรไทยก็จะบรรลุความสำเร็จได้ แต่การก่อรูปของขบวนการกรรมกรไทยในสมัยนั้นยังไม่ได้ก่อรูปขึ้นอย่างเพียงพอและเข้มแข็งสมบูรณ์จึงทำให้ไม่มีบทบาทผลักดันของกรรมกร ภารกิจสร้างประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์จึงล้มเหลวการสร้างประชาธิปไตยโดยกองทัพแห่งชาติโดยนโยบาย 66/23 ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะกองทัพแห่งชาติไม่ปฏิบัตินโยบายต่อยุติบทบาทลงเสียก่อนขบวนการกรรมกรไทยจึงไม่อาจช่วยผลักดันได้
แต่กฎเฉพาะของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้นจะต้องเป็นภารกิจของพระมหากษัตริย์ถ้าพระมหากษัตริย์ถูกขัดขวางกีดกัน ประชาธิปไตยก็ไม่เกิด แม้ว่ากรรมกรจะผลักดันตามกฎทั่วไปของการสร้างประชาธิปไตยก็ไม่สำเร็จถ้าพระมหากษัตริย์ถูกขัดขวางไม่ให้แสดงบทบาทสร้างประชาธิปไตยอุปสรรคที่สำคัญ คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย ไม่ได้เป็นของพระมหากษัตริย์ จึงทรงสร้างประชาธิปไตยไม่ได้อีกทั้งมีปัญหาที่สำคัญที่ยังแก้ไม่ตกคือ ปัญหาความเห็น นั่นคือ มีความเห็นผิดว่าปัจจุบันเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนแล้วเพื่อแก้ปัญหาความเห็นให้ถูก สร้างประชามติให้พระมหากษัตริย์ทรงสร้างประชาธิปไตยเพื่อให้คนส่วนน้อยคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์จะต้องใช้มาตรการสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมคือ “การถวายฎีกาของพระราชทานรัฐบาลแห่งชาติเพื่อกู้ชาติสร้างประชาธิปไตย” การใช้แนวทางการชุมนุมใหญ่หรือเดินขบวนซึ่งล้มเหลวมาโดยตลอดในอดีต เป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนของการกำหนดแนวทางที่ผิด มีเพียงแนวทางปฏิวัติสันติของพระมหากษัตริย์กับแนวทางการหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตยของกรรมกรไทยเท่านั้นจึงจะนำ พาไปสู่ความสำเร็จของภารกิจสร้างประชาธิปไตยแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมได้จริง ฉะนั้น ถ้ากรรมกรซึ่งมีอาวุธสำคัญซ่อนอยู่ในฝัก คือ “การหยุดงานทั่วไป”ลงมือปฏิบัติแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทยด้วยการ “การถวายฎีกาของพระราชทานรัฐบาลแห่งชาติเพื่อกู้ชาติสร้างประชาธิปไตย แก้วิกฤตเศรษฐกิจและสังคม” นั่นเอง วิธีการที่ถูกต้องย่อมนำไปสู่ความมุ่งหมายที่ชอบธรรมได้เมื่อนั้นวงจรอุบาทว์ของระบอบเผด็จการรัฐสภาถูกทำลายลง วงจรอุบาทว์นี้ทำให้ชาติล่มจมและเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตย นั่นเอง
สถาบันวิชาการกรรมกรไทย
สมัชชากรรมกรแห่งชาติ
ธันวาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น