วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

ประเทศไทยไม่เคยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ปัญหาเป็นตายของประเทศไทย คือปัญหาความเห็นเรียกเป็นศัพท์บาลีว่าปัญหาทิฏฐิ เรียกเป็นศัพท์สันสกฤตว่าปัญหาทฤษฎี เรียกเป็นศัพท์อังกฤษว่า Theoretical problem

ดูผิวเผิน ความเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตของคนเรา แต่ตามความเป็นจริง ผลดีหรือผลร้ายทั้งหลายในมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือประเทศชาติ มีต้นเหตุมาจากความเห็นถูกหรือความเห็นผิด สัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ ทฤษฎีถูกหรือทฤษฎีผิด Right theory หรือ Wrong theory ทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลแรกในโลกที่ค้นพบบทบาทอันสำคัญเป็นเอกของความเห็น ซึ่งทรงบัญญัติความเห็นถูกหรือสัมมาทิฏฐิไว้เป็นข้อแรกของมัชฌิมาปฏิปทา ข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่นอนแล้วว่า การปฏิบัติไปสู่โมกษธรรมนั้น ถ้าปราศจากความควบคุมโดยสัมมาทิฏฐิเสียแล้ว ไม่ว่าจะประกอบด้วยความเพียรแก่กล้าเพียงใด ก็ล้มเหลวทั้งสิ้น

กิจกรรมทางโลกก็อยู่ในกฎนี้เช่นเดียวกัน ผัวเมียอยู่กันเป็นสุขหรือฆ่าตัวตาย มีมูลเหตุมาจากความเห็นถูกหรือความเห็นผิด สหรัฐช่วยอินโดจีนด้วยทฤษฎีโดมิโนที่ผิด แทนที่อินโดจีนจะเป็นประชาธิปไตยกลายเป็นคอมมิวนิสต์ สงครามในกัมพูชาจนป่านนี้ยังไม่เลิก เพราะความขัดแย้งทางทฤษฎีในพรรคคอมมิวนิสต์เขมร และเพราะความเห็นผิดของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งสหประชาชาติ ที่เข้าไปแก้ปัญหา ฉะนั้น กล่าวตามภาษาวิชาการ พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลแรกในโลก ที่ทรงค้นพบความสำคัญเป็นเอกของทฤษฎี

บางประเทศพัฒนาภายใต้ทฤษฎีที่ถูก บรรลุความไพบูลย์และประชาชนพ้นจากความจน บางประเทศพัฒนาภายใต้ทฤษฎีที่ผิด แม้จะมีความไพบูลย์ แต่ยิ่งพัฒนายิ่งยากจน อย่างเช่นอิหร่านสมัยพระเจ้าซาห์ปาเลวี พัฒนาเสียจริงถึงขนาด "ปฏิวัติเขียว" และเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีทันสมัย แต่วินาศโดยไม่ทันรู้ตัว การพัฒนาประเทศชนิดนี้ เหมือนคนมีโรคร้ายบางอย่างที่อยู่สบายดี แต่ไมเร็วก็ช้ามันจะแแสดงอาการและคร่าชีวิตแน่นอน

ประเทศไทยพัฒนามากว่าครึ่งศตวรรษ ภายใต้ทฤษฎี "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผิด เพราะกลับตาลปัตรกับความเป็นจริง และมาถึงเดี๋ยวนี้ยิ่งผิดซ้ำสองถึงกับเห็นกันไปว่า ประชาธิปไตยเป็นสิ่งไม่ดี ถามว่าทำไมคนกรุงเทพมาเลือกตั้งซ่อม 24 กว่าเปอร์เซ็นต์ ตอบว่าเพราะเบื่อประชาธิปไตย เพื่อนกระผมเล่าให้ฟังว่า เขาไปฟังการอภิปรายของกรรมกรที่โรงแรมรอแยล ผู้นำกรรมกรคนหนึ่งตะโกนว่า ประชาธิปไตยช่วยเราไม่ได้ ไม่เอาแล้วประชาธิปไตย

ทั่วโลกเขาเห็นประชาธิปไตยเป็นของดีกันทั้งนั้น เขาเอาประชาธิปไตยกันทั้งนั้น แม้แต่สหภาพโซเวียตยังพยายามเปลี่ยนคอมมิวนิสต์เป็นประชาธิปไตย มีแต่บ้านเราแห่งเดียวเห็นว่าประชาธิปไตยไม่ดี เบื่อประชาธิปไตย ไม่เอาแล้วประชาธิปไตย นี่คือทฤษฎีผิดซ้ำสองต่อจากประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำหรับประเทศหนึ่งแล้วจะมีอะไรอีกที่น่ากลัวกว่านี้

แต่ยังเป็นโชคดีของประเทศไทย เพราะทฤษฎีถูกยังมีอยู่คือทฤษฎีตามพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชบันทึกเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2477 ว่า "การปกครองที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นลัทธิเผด็จการทางอ้อมๆ"

การปกครองลัทธิเผด็จการทางอ้อม ๆ ก็คือไม่ใช่การปกครอบแบบเผด็จการทางตรง เช่นคณะทหารหรือ Junta เป็นต้น สำหรับบ้านเราใช้ระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองของระบอบเผด็จการ จึงเรียกได้ว่าเป็นการปกครองระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา เรียกย่อว่าระบอบเผด็จการรัฐสภา ตามที่เรียกันโดยทั่วไป ก็คือการปกครองลัทธิเผด็จการทางอ้อม ๆ นั่นเอง

บังเอิญกระผมได้อื่านบทความของ "สร้อยเพชร" ในหนังสือพิมพ์ "ดาวสยาม" วันที่ 15 กรกฎาคม 2536 หัวเรื่องว่า "จะเชื่อใครกันแน่?" ตอนจบเขียนไว้ว่า

"จึงเข้าหลัก" ความรู้เดิมทางการเมืองเรื่องระบอบประชาธิปไตยเกลื่อน เมื่อได้รับความรู้ใหม่ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ความคิดประชาธิปไตยเกิ
ดสับสนอลหม่านมากขึ้นเท่านั้น"
...
"ซึ่งข้อนี้ เฮอร์เบอร์ด สเปนเซอร์ ศาสตราจารย์ระดับนับเบอร์วันทางวิชารัฐศาสตร์ จากการเลือกตั้งของอังกฤษ ได้กำชับ "อิโต" รัฐมนตรีมหาดไทยของญี่ปุ่น ที่สนใจและได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิมัตสุฮิโต ให้ไปศึกษาแนวทางการสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยจากตะวันตก เมื่อสิงหาคม 2424 เป็นนักหนา ผลจึงทำให้ญี่ปุ่นเจริญเร็ว เพราะสร้างรากฐานตึกประชาธิปไตยอย่างถูกแบบ ถูกวิธี

"ส่วนของไทย ตึกประชาธิปไตยไปสร้างแบบฝรั่งเศสผสมอเมริกา ปัญหาจึงเกิดการสับสน พอคนอย่างอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อักษรศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่ต้น จนเป็น ส.ส.ดังในสมัยโน้น ยึดถือแนวทางของ ร.5 ร.6 ร.7 ที่เดินตามอย่างอังกฤษ

"พวกสับสนกลับถือว่าเป็นของเทียม พวกคอมมิวนิสต์ทำความคิดให้เห็นเป็น ศัตรู ทั้งๆ ที่คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย รองราชเลขาธิการแห่งพระองค์ ได้ออกมาบอกชัดๆ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2536 ว่า อาจารย์ผู้นี้คือเจ้าของความคิดทำลายกองกำลังคอมมิวนิสต์ไทยสำเร็จ"

"จึงอยากถามว่า "เราจะเชื่อตามใครกันแน่?"

ข้อความนี้ อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจไปว่า ผู้เขียนบทความนี้เรียกร้องประชาชน ให้เชื่อทฤษฎีของกระผม หรือเชื่อกระผม จึงเห็นควรชี้แจงว่า ทฤษฎีของกระผมไม่มี จึงไม่มีการเชื่อทฤษฎีของกระผม ไม่มีการเชื่อกระผม กระผมมีแต่นำเอาทฤษฎีของเจ้าลัทธิประชาธิปไตยทั้งหลายมาเผยแผ่แก่ประชาชน โดยเฉพาะคือทฤษฎีของพระบิดาแห่งประชาธิปไตยในประเทศไทย คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูหัว ซึ่งสืบทอดโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจขั้นตอนสุดท้าย ในพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ไทยแต่ล้มเหลวเพราะถูกยึดอำนาจเสียก่อน

มีผู้กล่าวว่า การที่สมเด็จพระปกเกล้า ทรงต่อสู้กับคณะราษฎรจนถึงกับต้องทรงสละราชสมบัตินั้น เป็๋นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของศักดินาไทย แต่สัจธรรมคือ พระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ทรงเป็นผู้สถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย ผู้สร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย แต่สำเร็จเพียงขั้นตอนแรก คือยกเลิกรัฐเจ้าครองนคร (Feudal State) และสถาปนารัฐแห่งชาติ (National State) ขึ้นแทน และใจขณะที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงรัฐแห่งชาติที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือเผด็จการแบบเก่า ให้เป็นรัฐแห่งชาติที่เป็นประชาธิปไตย ก้ถูกคณะราษฎรทำลายแผนพระราชดำรินั้นเสีย โดยโค่นระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ลง แล้วสร้างระบอบเผด็จการคณาธิปไตยหรือ Oligarchy ในรูปของระบอบเผด็จการรัฐสภาขึ้นแทน ซึ่งสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันดูเพิ่มเติม

 แต่ก่อนที่จะอธิบายข้อนี้ต่อไป ขอย้ำคำว่า "ศักดินา" ตามความที่กระผมเคยอธิบายไว้ในคำชี้แจงฉบับแรกๆ ว่า คำว่า ศักดินานั้นไม่ใช่ Feudalism ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเดิมเราแปลว่า ระบบเจ้าครองนครนั้นถูกต้องแล้ว เพราะศักดินาหมายความถึงสิทธิในที่นา ซึ่งคนไทยทุกคนมี ตั้งแต่พระมหาอุปราชลดหลั่นกันลงมาจนถึงยาจกวณิพก ยกเว้นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวไม่มีศักดินา แต่คำว่าระบบเจ้าครองนครออกจะเยิ่นเย้อ กระผมจึงขอทับศัพท์ว่า "ฟิวดัล"การกล่าวว่า พระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเรา ทรงเป็นผู้สถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือสร้างประชาธิปไตยนั้น ดูเหมือนจะขัดความรู้สึกของหลายคนซึ่งยึดถือว่าพระเจ้าแผ่นดินสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือเสาหลักของระบบฟิวดัล และจะต้องต่อต้านป...ระชาธิปไตยอย่างถึงที่สุดอย่างพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป เช่นพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย เป็นต้น

มีเรื่องเกร็ดซึ่งเพื่อนสนิทคนหนึ่งเล่าให้กระผมฟัง แต่ที่นำมาถ่ายทอดนี้ไม่ใช่เพื่อวิจารณ์หรือโจมตี หากเพื่อประกอบการศึกษาทฤษฎีเท่านั้น คือเมื่อเสร็จสงครามอินโดจีนใหม่ๆ คนไทยคณะหนึ่งเดินทางไปสหภาพโซเวียต ระหว่างสนทนากับชาวโซเวียตคนหนึ่งถึงปัญหาการปฏิวัติในประเทศไทย คนหนึ่งในคณะพูดว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยก็เหมือนการปฏิวัติประชาธิปไตยในรัสเซีย (คือการปฏิวัติประชาธิปไตยของพวกประชาธิปไตยซึ่งเกิดขึ้นก่อนการปฏิวัติสังคมนิยมของพวกคอมมิวนิสต์ราว 8 เดือน และในการปฏิวัติประชาธิปไตยครั้งนั้น มีการสำเร็จโทษพระเจ้าซาร์นิโคลัส พระราชินี และราชโอรสราชธิดาอย่างโหดร้ายทารุณด้วย) คือจะต้องโค่นสถาบันพระมหากษัตริย์ การปฏิวัติประชาธิปไตยจึงจะสำเร็จได้ ขาวโซเวียตผู้นั้นแย้งว่า "สหาย พระเจ้าแผ่นไทยกับพระเจ้าซาร์ ไม่เหมือนกัน" ทำให้คนนั้นในคณะเงียบ

เดี๋ยวนี้ แม่้แต่ผู้ต่อต้านประชาธิปไตยและยืนหยัดรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาบ้านเราบางคน โดยยืนยันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังถือว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยคือการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ แทนที่จะรับความจริงว่า การปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยคือเงื่อนไขอันจำเป็นที่สุดสำหรับการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ หมายความว่า บุคคลซ้ายสุดกับบุคคลขวาสุดมีทฤษฎีตรงกันในการต่อต้านประชาธิปไตย

คำว่า การปฏิวัติประชาธิปไตยหรือ Democratic Revolution นั้น เป็นศัพท์เทคนิคหรือ Technical term หมายความถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย เรียกอีกนัยหนึ่งว่าการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือสร้างประชาธิปไตย ซึ่งบางประเทศกระทำโดยวิธีรุนแรง บางประเเทศกระทำโดยวิธีสันติ ที่รุนแรงที่สุดคือ การปฏิวัติประชาธิปไตยในฝรั่งเศส ซึ่งเรียกว่ามหาปฏิวัติฝรั่งเศส หรือ Great French Revolution เมื่อปี 1789 การปฏิวัติประชาธิปไตยสันติวิธี คือในญี่ปุ่น ในอินเดีย และในประเทศไทยซึ่งทรงกระทำโดยรัชกาลที่ 5 สำเร็จขั้นตอนแรก และโดยรัชกาลที่ 7 ขั้นตอนสุดท้่าย แต่ล้มเหลวเพราะถูกยึดอำนาจเสียก่อนดูเพิ่มเติม
กระผมเคยอ่านพบในหนังสือสรรพนิพนธ์ของเลนินผู้ซึ่งไม่เอาลัทธิประชาธิปไตย เอาลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเดียวเป็นบทความสั้นๆ ซึ่งเลนินเขียนไว้ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศตะวันออกประเทศเดียวที่สร้างประชาธิปไตยสำเร็จ ใครไม่เชื่อไปค้นอ่านดูก็ได้

ญี่ปุ่น เป็นประเทศตะวันออกประเทศเดียวที่สร้างประชาธิปไตยสำเร็จนั้น เป็นความจริงและข้อเท็จจริง ไม่ว่าพวกคอมมิวนิสต์ พวกเผด็จการหรือพวกประชาธิปไตย ต้องยอมรับทั้งสิ้น

แล้วใครเล่าเป็นผู้สร้างประชาธิปไตยญี่ปุ่นสำเร็จ?

ใครก็รู้ว่า คือสมเด็จพระจักรพรรดิมัตซูฮิโต พระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อทรงสร้างประชาธิปไตยสำเร็จ ก็ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสมบูรณ์ด้วยความมั่นคงตลอดกาลของสถาบันพระมหากษัตริย์ญี่ปุ่น

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชฐานะ "ปิยมหาราช" และในปัจจุบันถึงกับเป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว เหตุสำคัญที่สุดเพราะทรงริเริ่มสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาพร้อม ๆ กับสมเด็จพระจักรพรรดิมัตซูฮิโต และสำเร็จเพียงขั้นตอนแรก เพราะเสด็จสวรรคตเสียกลางคัน แต่เรื่องนี้พวกเราไม่ใคร่จะพูดถึงกัน เราถวายราชสดุดีแด่สมเด็จพระปิยมหาราชในพระราชกรณียกิจเป็นเอนกประการ แต่มักจะละเว้นพระราชกรณียกิจอันสำคัญสูงสุดคือการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยสำเร็จในขั้นตอนแรก ซึ่งเป็นพระราชคุณูปการสูงสุดแก่ประเทศชาติเช่นเดียวกับสมเด็จพระจักรพรรดิมัตซูฮิโตแห่งญี่ปุ่น

การปฏิวัติประชาธิปไตยในรัสเซีย สำเร็จโทษพระเจ้าซาร์ ในฝรั่งเศสสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในอังกฤษสำเร็จโทษพระเข้าชาลส์ที่ 1 ในประเทศยุโรปอื่น ๆ ก้ทำนองเดียวกัน คือ พระเจ้าแผ่นดินทรงขัดขวาง แม้ว่าจะไม่ถึงกับสำเร็จโทษก็ตามแต่ทรงประณีประนอมและสนับสนุนประชาธิปไตยภายหลัง

แต่ในญี่ปุ่นและในประเทศไทย พระเจ้าแผ่นดินกลับทรงเป็นผู้กระทำการปฏิวัติประชาธิปไตยเอง เรื่องมันเป็นอย่างไรกันต้องอธิบายกันยาว ขอยกไปไว้ในคำชี้แจงฉบับต่อ ๆไป ในที่นี้ขอนำเอาแต่ความจริงและข้อเท็จจริงมาเสนอไว้ก่อน เพื่อให้เห็นว่าคนที่พูดว่า การที่สมเด็จพระปกเกล้าทรงต่อสู้กับคณะราษฎรจนถึงกับต้องทรงสละราชสมบัติเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของศักดินานั้น มีความเข้าใจกลับตาลปัตรกับความจริงและข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิงอย่างไร

สมเด็จพระปกเกล้า ทรงเป็นบุคคลเดียวและบุคคลแรกที่ประกาศว่า การปกครองภายหลัง 24 มิถุนายน 2475 เป็นการปกครองลัทธิเผด็จการ มีแต่นักประชาธิปไตยที่แท้จริงและนักวิชาการทางการเมืองชั้นยอดเท่านั้น ที่จะประกาศออกมาเช่นนี้ได้ นักการเมืองและนักวิชาการสมัยนี้เกือบจะไม่มีสักคนที่จะกล้าพูดว่า การปกครองปัจจุบันเป็นการปกครองระบอบ เผด็จการ อย่างดีก็เพียงแต่ใช้คำว่า "เผด็จการ" ลอย ๆ หรือ "ประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์" "ประชาธิปไตยยังไม่พัฒนา" ถึงอย่างไรก็ต้องบอกว่าเป็นประชาธิปไตยไว้ก่อน เพิ่งจะไม่กี่วันมานี้เองที่มีคอลัมนิสต์ตั้งข้อสงสัยขึ้นว่า การปกครองปัจจุบันของเราเป็นระบอบอะไร? ในขณะที่สมเด็จพระปกเกล้า ทรงประกาศทันทีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองว่าเป็นระบอบเผด็จการ และเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเราไม่กล้าพูดว่าประชาชนเบื่อหน่ายระบอบเผด็จการ แต่กลับไปสร้างความสับสนหนักขึ้นด้วยการพูดว่า ประชาชนเบื่อหน่ายประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่ในโลกนี้ประชาธิปไตยคือชีวิตจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งมี "รักความเป็นไท" เป็นลักษณะประจำชาติ

ในด้านวิชาการ กระผมเคยกราบทูลถามพระเจ้าวรวงค์เธอ กรมหมื่นราธิปพงศประพันธ์ ซึ่งคนทั่วไปเรียกกันว่า "ท่านวรรณ" และเป็นอาจารย์เมื่อกระผมเรียนอยู่จุฬาฯ ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยคืออะไร? ทรงตอบทันทีว่าคืออำนาจอธิปไตยของปวงชนและเสรีภาพของบุคคล ต่างกับนักวิชาการสมัยนี้ ซึ่งมักจะบอกว่านายกฯเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย นอกจากอาจารย์กระมล ทองธรรมชาติ คนเดียวที่พูดตรงกับ "ท่านวรรณ" ทั้งๆ ที่กระผมรู้สึกว่าเสด็จในกรมพระองค์นั้นทรงเป็นนักวิชาการทางประชาธิปไตยชั้นยอดอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกไปถึงพระราชนิพนธ์และพระราชหัตถเลขาเชิงวิชาการทางประชาธิปไตยของสมเด็จพระปกเกล้า ดังเช่น "ข้าพเจ้าได้พูดไว้นานแล้วว่า ข้าพเจ้าจะยอมสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งปวง แต่ไม่สมัครใจที่จะสละอำนาจให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง เว้นแต่จะรู้แน่ว่าเป็นความประสงค์ของประชาชนทันแท้จริงเช่นนั้น" "เป็นการยึดอำนาจกันเฉยๆ" "เป็นแค่เปลี่ยนตัวเปลี่ยนคณะกันเท่านั้น" "ผลร้ายของการปกครอง แบบ Absolute มิได้เสื่อมคลาย" "เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่" ทรงเรียก Absolute monarchy ว่า "สมบูรณาญาสิทธิ์ของพระเจ้าแผ่นดิน" และเรียก Oligarchy ว่า "สมบูรณาญาสิทธิ์ของคณะ" ช่วยให้เห็นจินตภาพง่ายขึ้น ทรงวิจารณ์รัฐธรรมนูญของคณะราษฎรใน มาตราซึ่งเป็นหัวใจของ ระบอบการปกครองว่า "เป็นการเขียนเพื่อตบตา เพื่อหลอกกันเล่นเท่านั้นเอง" และข้อสำคัญที่สุดคือ ทรงกำหนดแผนพระราชดำริเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยทรงตั้งสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว เรียกว่า "สภากรรมการองคมนตรี" เพื่อใช้เป็นระยะผ่าน (Period of transition) ในการโอนอำนาจจากพระมหากษัตริย์ให้แก่ประชาชน ตามทฤษฎีและหลักนโยบายที่ถูกต้องของการปฏิวัติประชาธิปไตยที่ใช้ปฏิบัติกันทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างสันติวิธีที่เป็นแบบฉบับคือในญี่ปุ่น และพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านนั้น ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมักจะทรงเป้นภาษาอังกฤษ เพื่อความแม่นยำ ทั้งอรรถและพยัญชนะและตามพระราชหัตถเลขากล่าวถึงพระราชนิพนธ์เรื่อง พระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้เมื่อ พ.ศ. 2470 ว่า "ได้ทรงเรียบเรียงรอบคอบที่สุด แสดงให้เห็นชัดว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองของไทยอย่างเก่าเป็นอย่างดี และส่วนประเพณีการปกครองอย่างที่นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรป ได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด.......การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ รัฐบาลในประเทศสยามได้ทำไปโดยราบคาบ เพราะเรโวลูชั่นของเรานั้น พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงริเริ่ม ประกอบกับพระเจ้าเแผ่นดิน พระองค์นั้นทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าผู้ใดหมดในเวลานั้น....." เหล่านี้เป็นต้น กระผมรู้สึกว่าไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นเช่นนี้ แท้จริงก็คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเองด้วย และกระผมรู้สึกว่าไม่มีนักวิชาการทางการเมืองผู้ใดในสมัยเดียวกันจะเทียบเคียงกับสมเด็จพระปกเกล้าได้เลย และจะพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญที่สุด จึงบอกกล่าวแก่เพื่อนฝูงอยู่เสมอว่า ถ้าอยากรู้ประชาธิปไตยต้องกลับไปสู่รัชกาลที่ 7 แต่บุคคลประเภทที่ถือว่า "เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของศักดินา" กลับพูดว่า "เขียนเองไม่เป็น คนอื่นเขียนให้ทั้งนั้น"

ความผิดพลาดทางทฤษฎีที่สำคัญที่สุดของคณะราษฎรคือไม่เชื่อสมเด็จพระปกเกล้าที่ตรัสว่า การปกครองที่คณะราษฎรสร้างขึ้นเป็นการปกครองลัทธิเผด็จการทางอ้อม ๆ

คณะราษฎรอ้างว่า การยึดอำนาจไม่ใช่เป็นการช่วงชิงแต่ทำไปเพราะไม่รู้ว่าสมเด็จพระปกเกล้ากำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ

ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คณะราษฎรจะไม่รู้ เพราะข่าวแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศตั้งแต่ปลายปี 2474 ว่าสมเด็จพระปกเกล้าจะทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย กระผมก็รู้เมื่อเรียนอยู่ ม.8 ปีนั้น

แต่ถึงจะไม่รู้มาก่อน คณะราษฎรก็ได้รู้จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระปกเกล้า ว่าการปกครองที่สร้างขึ้่นนั้นไม่ถูกต้องเป็นระบอบเผด็จการ เป็นสมบูรณาญาสิทธฺิ์ของคณะหรือ Oligarchy และทรงแนะนำให้แก้ไขโดยสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นแทนเสีย แต่คณะราษฎรก็...ไม่ยอมเชื่อฟังและปฏิบัติตามเลย คงเดินหน้าต่อไปในการสร้างการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา และมีการบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิดมากขึ้นเป็นลำดับ ว่าการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย จนกลายเป็นความผิดพลาดทางทฤษฎีที่เป็นปัญหาเป็นตายของชาติอยู่ในปัจจุบัน เพราะไม่มีใครเชื่อทฤษฎีที่ถูกต้องของสมเด็จพระปกเกล้าที่ว่า การปกครองปัจจุบันเป็นลัทธิเผด็จการทางอ้อม ๆ แต่กลับพากันเชื่อทฤษฎีที่ผิดของคนอื่นที่ว่า การปกครองปัจจุบันเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดูเหมือนจะมีแต่กระผมคนเดียวที่เชื่อทฤษฎีของสมเด็จพระปกเกล้ามาตลอดว่า ประเทศไทยตั้งแต่ "24 มิถุนา" เป็นต้นมามีการปกครองลัทธิเผด็จการทางอ้อม ๆ และพยายามอธิบายมาตลอดให้ผู้คนเชื่อทฤษฎีนี้ของพระองค์ท่าน แต่ก็ทำได้ยากอย่างที่สุด และเต็มไปด้วยความเสี่ยงภัย

จึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่ผู้คนไม่เชื่อกระผม อย่างที่คุณ "สร้อยเพชร" เขียนไว้ แต่ไม่เชื่อรัชกาลที่ 7 การที่คนไทยโดยเฉพาะคือนักการเมืองและนักวิชาการ ไม่เชือรัชกาลที่ 7 ในทฤษฎีประชาธิปไตย คืออันตรายถึงขั้นเป็นตายของประเทศชาติ "พฤษภาทมิฬ" คือตัวอย่างหลังสุด กระผมขอเรียกร้องพี่น้องชาวไทยให้กลับไปสู่รัชกาลที่ 7 กันเสียโดยเร็วเถิด

2. เพื่อประกอบการพิจารณาปัญหานี้ กระผมขอนำเอาบทความในนิตยสาร "วัฏจักรการเมือง" ฉบับที่ 52 4-10 มิถุนายน 2536 มาเสนอดังนี้

ประเทศไทยไม่เคยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

คำชี้แจงจาก ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร

กระผมขอเรียนชี้แจงต่อบทความเรื่อง "ว่าด้วย "หลัก" บางอย่างของประชาธิปไตย" โดยคุณวิสุทธิ โพธิแท่น ใน "วัฏจักรการเมือง" ฉบับที่ 52 4-10 มิ.ย. 36 ซึ่งกรุณาเสนอต่อกระผม โดย "ถือว่าเป็น "การแลกเปลี่ยน" ความคิดเห็นจากผู้มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติด้วยกันก็แล้วกัน"

กระผมขอเรียนว่า กระผมเสนอความเห็นนอกจากเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ยังมีความมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนั้น ได้ข้อยุติในปัญหาประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด เพื่อนำข้อยุติที่ถูกต้องไปใช้ให้ได้ผลทางปฏิบัติ เพราะประเทศไทยภายใต้ภาวะด้อยพัฒนา ซึ่งฉาบหน้าไว้ด้วยความเจริญสมัยใหม่ และตกต่ำลงถึงระดับที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังจะอยู่กันไม่ได้นี้ ต้องการแก้ปัญหาของชาติให้ตกไปโดยด่วน ข้อมูลจากเอกสารของธนาคารโลกในนิตยสาร The Economist ฉบับล่าสุด 15-21 พ.ค. 93 ช้างล่างนี้ สอดคล้องกับความจริงของสถานการณ์ที่ประเทศชาติและประชาชนเผชิญอยู่ :-

"แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ ความจนพิสูจน์ให้เห็นว่าจะขจัดได้ยากอย่างดื้อด้าน เอกสารศึกษา 6 ประเทศเอเชียตะวันออกสรุปว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ล้มเหลวในการกระทำบุกรุกที่สำคัญต่อความจนในทศวรรษ 1980 (ดูตาราง) ซึ่งตรงกับคำชี้แจงของกระผมในฉบับที่ 8 ว่าคนไทยจนที่สุด ทั้งที่ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ที่สุดและเศรษฐกิจเติบโต 7 กว่า% โดยอ้างคำกล่าวอันถือได้ว่าเป็นสุภาษิตของ พล.อ.เกรียงศักดิ์

ฉะนั้น กระผมจึงขอความร่วมมือมายังคุณวิสุทธิ ดำเนินการเพื่อให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ข้อยุติที่ถูกต้องในปัญหาประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุดดูเพิ่มเติม

เพราะว่า การแก้ปัญหาของประเทศเราภายใต้สภาวการณ์ที่ดำรงอยู่ จะต้องเริ่มต้นด้วยการทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยหรือทำให้บทรัฐธรรมนูญที่ว่า "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย" ได้ประจักษ์เป็นจริง ถ้าไม่เริ่มต้นจากจุดนี้แล้วการแก้ปัญหาของชาติก็จะเป็นไปไม่ได้ และจะเริ่มต้นจากจุดนี้ได้จะต้องได้ข้อยุติที่ถูกต้องในปัญหาประชาธิปไตย

การที่ต้องทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยนั้น ย่อมหมายความอยู่ในตัวแล้วว่า ประเทศไทยยังไม่เคยมีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ตามที่กระผมได้ชี้แจงไว้ ซึ่งคุณวิสุทธิ ให้ความเห็นว่า "ถ้าหมายคว่า "ความเป็นประชาธิปไตยระดับสูง" นั้น บ้านเราไม่มี ผมก็เห็นด้วยว่าใช่ เพราะระบบและระบอบการเมืองการปกครองของเราหลัง 24 มิถุนายน มีความไม่แน่นอนอยู่ตลอด เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยังไม่พัฒนาในเนื้อหาและยังไม่มีระเบียบวิธีทางการเมือง (Political procedures) ที่แน่นอนคงเส้นคงวา

ปัญหาคือ ยังไม่พัฒนา หรือยังไม่มี?

"ยังไม่พัฒนา" นั้น หมายความว่า "มี" แล้ว เพราะจะต้อง "มี" ก่อนจึงจะ "พัฒนา" ได้ กระผมว่าบ้านเราระบอบประชาธิปไตย "ยังไม่มี" จึงเป็นเรื่อของการทำให้ "มี" ไม่ใช่เรื่องของการ "พัฒนา" ขอให้เรามาช่วยกันทำให้มีระบอบประชาธิปไตย แล้วก็จะพัฒนาระบอบประชาธิปไตยกันได้

สรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหลาย ต้อง "มี" ก่อน แล้วจึง "พัฒนา" เช่นเกิดเป็นคนจะอายุ 1 วันก็เป็นคน 10 ปีก็เป็นคน 30 ปีก็เป็นคน 80 ปีก็เป็นคน ซึ่งเป็นแต่ละขั้นตอนของการพัฒนา อาจจะพูดได้ว่าอายุ 30 ปีมีความเป็นคนระดับสูง อายุ 1 วันเป็นคนที่ยังไม่พัฒนา แต่จะพัฒนาระดับสูงหรือระดับต่ำหรือยังไม่พัฒนา ก็เป็นดน เพราะเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นคน ไม่เป็นอื่น

เช่นเดียวกับระบอบประชาธิปไตย เมื่อเกิดขึ้่นมาแล้วก็เป็นระบอบประชาธิปไตย ไม่เป็นระบอบอื่น ไม่ว่าจะยังไม่พัฒนาหรือพัฒนาถึงระดับไหนก็ตาม แต่บ้านเราระบอบประชาธิปไตยยังไม่เกิด จึงยังไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าระดับสูงหรือระดับต่ำ ใช่ว่าระบอบประชาธิปไตยระดับต่ำมี ระดับสูงไม่มีก็หาไม่

เราเข้าใจกันว่า ประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยมีระบอบประชาธิปไตยแล้วตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 จึงพยายามพัฒนาระบอบประชาธิปไตยกัน แต่จริง ๆ แล้วระบอบประชาธิปไตยยังไม่มี การพัฒนาสิ่งที่ยังไม่มีนั้น จะพยายามอย่างไรก็เสียแรงเปล่า

เวลานี้มีคนสงสัยกันมากขึ้นว่าประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยแล้วหรือยัง เช่นปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ คอลัมนิสต์บางคนเขียนว่าเวลานี้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบอะไร? บางคนเขียนว่าเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย บางคนเขียนว่าเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาเลยทีเดียว ท่านที่ติดตามอ่านคงจะได้เห็นกันแล้ว

ระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาได้เฉย ๆ แต่ต้องทำให้เกิด เรียกว่าสร้างประชาธิปไตย ซึ่งสมเด็จพระปกเกล้า ทรงเรียกว่า สถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย

แต่วิธีการในยุโรปกับในประเทศเอเชียยุคนั้นแตกต่างกัน ในยุโรปส่วนมากประชาชนลุกขึ้นดำเนินการด้วยวิธีรุนแรง เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส แต่ในเอเชียการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินทรงกระทำสำเร็จระบอบประชาธิปไตยก็เกิด ถ้าม่สำเร็จระบอบประชาธิปไตยก็ไม่เกิด ในญี่ปุ่นสมเด็จพระจักรพรรดิมัตซูฮิโต ทรงกระทำสำเร็จระบอบประชาธิปไตยเกิด ในจีนพระเจ้ากวางสู ล้มเหลว ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่เกิด ในประเทศไทยสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงกระทำจวนจะเสร็จอยู่แล้ว ถูกยึดอำนาจเสียระบอบประชาธิปไตยจึงไม่เกิดเช่นเดียวกัน

โดย อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร (จากหนังสือนายประเสริฐ ชี้แจง เล่มที่ 9 วันที่ 22 กรกฎาคม 2536)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น