วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สรุปผลการประชุมสัมมนา เรื่อง “แก้ปัญหาวิกฤติชาติ ด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ” ครั้งที่ 1


สรุปผลการประชุมสัมมนาครั้งที่ 1

เรื่อง“แก้ปัญหาวิกฤติชาติ ด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ”
โดย...ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติและสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ณ ห้องลาติโน่  โรงแรมจอมสุรางค์  ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เวลา 8.00 –19.00 น.วันที่ 1 พฤษภาคม 2557
.......................................................................................

          ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติจังหวัดนครราชสีมาได้จัดการประชุมสัมมนาครั้งที่ 1ในสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงสุดตามความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนในฐานะของประชาชนชาวชาวไทยที่แท้จริงอันเป็นการนำของประชาชนโดยองค์การนำใหม่ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ที่มีทั้งองค์การมวลชนองค์การพรรค และองค์การรัฐ เพื่อแก้ปัญหาชาติและประชาชนให้สำเร็จเสร็จสิ้นด้วยการสร้างประชาธิปไตยหรือปฏิวัติประชาธิปไตย(DemocraticRevolution)อย่างสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม ในแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23อันเป็นการปฏิวัติสันติ(Peaceful Revolution)ซึ่งเป็นมนุษย์ปฏิวัติ(Human Revolution) ครั้งแรกของโลกที่เป็นการปฏิวัติใหม่ที่สุดและดีที่สุดในโลก เพราะจะแก้ไขได้ทั้งด้านภาววิสัยคือการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม-สังคม และด้านอัตตวิสัยคือ ลักษณะนิสัยใจมนุษย์   ประเทศไทยจะนำประชาชาติทั้งมวลก้าวขึ้นสู่สันติภาพโลกถาวร(LastingWorld Peace) ก้าวขึ้นสู่โลกยุคประวัติศาสตร์ที่ 4 คือโลกยุคประวัติศาสตร์หลังสมัยใหม่(Posted Modern History)ต่อจากยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Modern History) ที่ต่อมาจากยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง(Middle Age)และยุคประวัติศาสตร์โบราณ(Ancient Age) ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงมีลักษณะเป็นการประชุมที่มีด้านชาติ(National)คือการปฏิวัติประชาธิปไตย  และด้านสากลนิยม(International)คือมนุษย์ปฏิวัติ   โดยได้ทำการถ่ายทอดสดเสียงการประชุมออกไปทั่วโลกผ่านวิทยุอินเตอร์เน็ต..“เสียงสภาประชาชนปฏิวัติสันติฯ” 

1. การประชุมได้แบ่งออกเป็น 2 ด้านเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดแก่ประชาชนและประชาชาติทั้งมวลโดยได้ดำเนินการประชุมเป็น 2 ภาคคือ...
1.1 การประชุมภาคเช้า...เป็นการการรุกทางการเมืองอย่างแหลมคมที่สุด(PoliticalOffensive)อันเป็นการปฏิบัติงานทางทฤษฎี โดยใช้มาตรการการอภิปรายปัญหาโดยนักปฏิวัติอาชีพ(ProfessionalRevolutionary) ที่มีลักษณะเป็นนักทฤษฎี(Theoretician)และนักยุทธศาสตร์(Strategist) และนักจัดตั้ง(Organizer)ที่เป็นลักษณะคุณธรรมด้วย(Moral Principle) ซึ่งประกอบด้วย
- นายคงฤทธิ์ สีหานาถ รักษาการณ์ประธานกรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
- นายสนิท ปานทอง ประธานกลุ่มพิทักษ์แผ่นดินฯ
- นายสุวัฒน์ชัย สวัสดี ประธานขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติจังหวัดนครราชสีมา
- นายสมพร มูสิกะ รักษาการณ์ประธานสภากรรมกรแห่งชาติ
- นายสมาน ศรีงาม เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
1.2การประชุมภาคบ่าย...เป็นการกระทำการรุกทางการเมืองอย่างทรงพลังก่อผลสะเทือนให้เกิดการโอนอำนาจทางหลักการและด้านอำนาจการเมืองตามธรรมชาติ(De facto)มาสู่ประชาชนอย่างเป็นไปเอง โดยขยายผลจากการอภิปรายรุกทางการเมืองอย่างแหลมคมสูงสุดที่เป็นฝ่ายรุก(Offensive)ต่อเผด็จการรัฐสภาเผด็จการรัฐประหาร และเผด็จการคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงแล้ว มาสู่การปฏิบัติการรุกทางการเมืองเอาชนะทางการเมืองและการจัดตั้งในรูปของ...“สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ” ซึ่งพัฒนามาจากสภาปฏิวัติแห่งชาติ พ.ศ. 2530 และสภากรรมการองคมนตรีร.7 พ.ศ. 2574 ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย(Democratic Dual Power)ที่ต่อสู้เอาชนะทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบคอมมิวนิสต์และต่อสู้เอาชนะเผด็จการทุกรูปแบบตามนโยบาย66/23 โดยมีการจัดการประชุมที่มีลักษณะประชาชนสูงและมีลักษณะอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย(อำนาจประชาชน)คือ...

- จัดรูปห้องประชุมแบบสภาประชาชนให้มีความเสมอภาคกันและประชาชนเป็นใหญ่
- จัดประชุมแบบผู้แทนประชาชน 2 ประเภทของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติคือ...

๐ ผู้แทนเขตพื้นที่ (Constituency Representative)จากทุกเขตอำเภอทั่วประเทศ
๐ ผู้แทนอาชีพ (Walk of Life Representative) จากทุกอาชีพทุกเขตอำเภอทั่วประเทศ

-มีการอภิปรายปัญหาต่างๆอย่างกว้างขวางเพื่อแก้ปัญหาตามนโยบายสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติทั้งนโยบายหลัก และนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้า

หมายเหตุ...เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย(Sovereignty of the People)หรือระบอบประชาธิปไตย แสดงออกเป็นรูปธรรมจริงในรูปของ 2 ด้านคือ...

(1) ด้านผู้แทน(Representative)...จะต้องมีผู้แทนที่แท้จริงของประชาชนคนทั้งประเทศ  ไม่ใช่ผู้แทนของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยชนชั้นสูงได้เปรียบในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในรัฐสภาของระบอบเผด็จการ2 รูป ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งจะต้องมีผู้แทนประชาชนที่แท้จริงทุกชนชั้นตามสัดส่วนเป็นธรรม  เช่น ชนชั้นสูงมีผู้แทน10 %  ชนชั้นกลางมีผู้แทน30 % ชนชั้นล่างมีผู้แทน60 %ของจำนวนสมาชิกสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติประมาณ5,000 คน อันเป็นการสะท้อนอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย.. “ด้านบุคคล”(Person) ผู้แทนของประชาชนที่แท้จริงเท่านั้นจึงเป็นหลักประกันว่านโยบายที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนทุกคนจะได้รับการปฏิบัติให้ปรากฏเป็นจริง

(2) ด้านนโยบาย(Policy)...มีนโยบายหลักและนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมถึง...“ผลประโยชน์ของประชาชนคนทุกคนทั้งประเทศอย่างทั่วถึงเป็นธรรมยั่งยืนตลอดไป”ซึ่งจะมีนโยบายอย่างทั่วด้าน ทั้งด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรมด้านสังคม ด้านการต่างประเทศ ด้านความมั่นคง ฯลฯ อันเป็นการสะท้อนอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย.. “ด้านหลักการ”(Principle)ซึ่งเป็นด้านที่สำคัญชี้ขาดสูงสุด คือ..“ผลประโยชน์และความสุขของประชาชนทุกคนเป็นใหญ่” นั่นเอง

2. การประชุมครั้งนี้ไม่เหมือนการประชุมครั้งที่ผ่านๆ มาในอดีต  เพราะดำเนินการจัดการประชุมขึ้นโดย...“องค์การนำใหม่”..หรือคณะผู้นำใหม่ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติที่มีลักษณะประชาชนสูงยิ่ง ซึ่งเป็นการเอาการนำไว้ที่ประชาชน หรือประชาชนเป็นผู้นำการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตามหลักการนำรวมหมู่แบบประชาธิปไตย(DemocraticCollective Leadership)  อันเป็นคุณภาพใหม่ของขบวนการปฏิวัติของประชาชนที่เข็มแข็งทรงพลังที่จะชี้ขาดความสำเร็จของภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่สูงส่ง ตามกฎเกณฑ์ของ..“สถานการณ์ปฏิวัติกระแสงสูง” คือ...

- ผู้ปกครองไม่สามารถปกครองได้
- ประชาชนปฏิเสธการปกครอง
- คนล้าหลังตื่นตัว
- ขบวนการปฏิวัติของประชาชนเข้มแข็ง
ดังนั้น ความสำเร็จอย่างงดงามของการประชุมครั้งนี้ที่สามารถทำการรุกทางการเมืองอย่างแหลมคมที่สุดและสามารถกระทำการรุกทางการเมืองให้เกิดการก่อกำเนิดการโอนอำนาจทางหลักการ(Principle) และการโอนอำนาจและก่อกำเนิดอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยตามธรรมชาติ(De facto)
3. วันนี้เป็นวันที่1 พฤษภาคม  อันเป็นวันกรรกรสากล(Mayday)ในด้านสากลและเป็นวันแรงงานแห่งชาติในด้านชาติ ซึ่งเป็นวันที่กรรมกร(Labour) ทั่วโลกได้เฉลิมฉลองกันทั่วโลกในชัยชนะที่ต่อสู้ได้ระบอบประชาธิปไตย และได้ระบบ 3 แปด คือทำงาน 8 ชั่วโมง  ศึกษา 8 ชั่วโมงพักผ่อน 8 ชั่วโมง อันเป็นสิทธิแรงงานประชาธิปไตย

ระบบทุนนิยม(Capitalism) ได้ก่อกำเนิดขึ้นในโลกในยุคเจ้าครองนคร(Feudalism) เมื่อประมาณศตวรรษที่ 13– 14 ชนชั้นกลางได้คิดค้นระบบทุนนิยมขึ้นในระบบเศรษฐกิจเจ้าครองนคร(Feudalism)ระบบเศรษฐกิจเจ้าครองนครผลิตเพื่อกินเพื่อใช้หรือพอกินพอใช้(Self-sufficientEconomy) ที่ใช้พลังงานธรรมชาติคนและสัตว์ทำการผลิต  แต่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมผลิตเป็นสินค้า(Commodity)ที่ใช้อุตสาหกรรมในการผลิตโดยใช้พลังงานเครื่องจักร  ชนชั้นกลางเมื่อคิดระบบทุนนิยมขึ้นได้แล้ว  แต่ไม่มีกรรมกรที่เป็นพลังการผลิตชนชั้นกลางจึงคิดลัทธิประชาธิปไตยขึ้น เพื่อแช่งชิงเอาทาสกสิกรรม(Serf)ของเจ้าครองนครมาเป็นกรรมกรทำการผลิตในระบบทุนนิยมให้แก่ฝ่ายตน  เช่นเสนอ เสรีภาพ ความเสมอภาค  และส่วนแบ่งในผลผลิตที่เรียกว่า..“ส่วนแบ่งในรายได้แห่งชาติ” จึงทำให้ทาสกสิกรรม(Serf)หนีมาเป็นกรรมกร(Labour) เมื่อมี.. “กรรมกรออกแรง”..เป็นพลังการผลิต(Power of Production)  และ.. “นายทุนออกทุน”..เป็นความสัมพันธ์การผลิต(Relation ofProduction) จึงเกิดการผลิตเฟื่องฟูได้สินค้าจำนวนมากมาย แต่ระบบเจ้าครองนครเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนตัวของสินค้าออกไปยังเมืองต่างๆทั่วโลก  ดังนั้น ชนชั้นกลาง(นายทุน)จึงได้คิดค้นทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution)เปลี่ยนอำนาจจากเจ้าครองนครมาเป็นของปวงชน(People) เสนอต่อกรรมกร กรรมกรจึงได้เป็นพลังเข้าผลักดันการปฏิวัติประชาธิปไตยโค่นล้มระบบเจ้าครองนคร อำนาจของเจ้าครองนครจึงตกมาเป็นของนายทุน นายทุนไม่ยินยอมปฏิบัติลัทธิประชาธิปไตย(Democracy) แต่กลับยึดกุมอำนาจไว้ในกำมือของตนเองคนส่วนน้อย  เป็นระบอบเผด็จการชนชั้นบนหรือทุนผูกขาด    แต่เมื่อใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่มี..“อุตสาหกรรม” เป็นหัวใจแล้ว...จะเกิดการพัฒนาโครงสร้างชั้นล่างทางเศรษฐกิจอย่างก้าวหน้าขนานใหญ่อย่างรวดเร็วเป็นพลวัตร(Dynamic) แต่โครงสร้างชั้นบนทางการเมืองยังถูกนายทุนยึดกุมอำนาจอธิปไตยไว้ในกำมือของตนคนส่วนน้อยเป็นระบอบเผด็จการ จึงเกิดความขัดแย้งของโครงสร้างขั้นล่างกับโครงสร้างชั้นบนอัดแน่นสะสมไว้อย่างมากมาย  เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น ความยากจน  การจลาจล การชุมนุมหรือม็อบ  วิกฤติ  สงครามกลางเมือง  มิคสัญญีกลียุค  กรรมกรจึงนำเคลื่อนไหวเรียกร้องผลักดันนายทุนผูกขาดที่ยึดกุมอำนาจอธิปไตยไว้แต่ฝ่ายเดียว  ให้ยินยอมปฏิบัติลัทธิประชาธิปไตยที่ได้คิดค้นและเสนอไว้ให้แล้วเสร็จคือ สร้างประชาธิปไตย หรือปฏิวัติประชาธิปไตย ยอมให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนคนทั้งประเทศ โดยกรรมกรทำหน้าที่ผลักดันการสร้างประชาธิปไตยด้วย.. “การหยุดงานทั่วไป”(GeneralStrike)  จึงทำให้นายทุนผูกขาดยอมสร้างประชาธิปไตยตามลัทธิของนายทุนที่ได้คิดค้นขึ้นเสนอไว้  เมื่อยกเลิกระบอบเผด็จการและสร้างระบอบประชาธิปไตยแล้ว จึงทำให้เกิดดุลยภาพ(Equilibrium)แก่ระบบทุนนิยม จึงทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองเฟื้องฟูมีความมั่งคั่งแห่งชาติ(NationalWealth) เพราะระบบทุนนิยมมีหัวใจ 2 อย่างคือ...“อุตสาหกรรมทางเศรษฐกิจ...และ...ประชาธิปไตยทางการเมือง”  จะต้องมีควบคู่กันตลอดไปจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ถ้าขาดก็จะเกิดความขัดแย้งวิกฤตหายนะวิบัติหายนะลมจม  อันเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นสัจธรรม(Truth)ว่า...“เมื่อใช้ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมได้ระดับหนึ่งแล้วจะต้องเปลี่ยนการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย จึงจะเกิดดุลยภาพเจริญเฟื่องฟู  แต่ถ้าไม่เปลี่ยนการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยก็จะเกิดปรากฏการณ์อุตสาหกรรมทำลายเกษตรกรรมล่มสลายทุนใหญ่และทุนข้ามชาติทำลายทุนขนาดกลาง และทุนขนาดเล็กอันเป็นทุนชาติ  เกิดวิกฤติเศรษฐกิจมิคสัญญีกลียุควิบัติหายนะล่มจม เกิดการจลาจลนองเลือด เกิดสงครามกลางเมือง ฯลฯ   ดังนั้น ถ้าใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม(Capitalism)หรือเศรษฐกิจเสรีนิยม(Liberalism) หรือเศรษฐกิจตลาด(MarketEconomy)จะต้องสร้างประชาธิปไตยหรือปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้แม้แต่น้อย อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจรัฐสูงสุดจะต้องเปลี่ยนจาก..“คนส่วนน้อยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย..มาเป็น..ปวงชนคนทั้งหมดเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย”ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแน่นอนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้แม้แต่น้อย
4.ในด้านประชาธิปไตย ซึ่งมี 3 ระดับ คือ...
- ประชาธิปไตยในเศรษฐกิจ(Democracy in Economy)
- ประชาธิปไตยในการเมือง(Democracy in Politic)
- ประชาธิปไตยในการปกครอง(Democratic in Government) 

เมื่อใช้ระบบทุนนิยมแล้วมันจะเกิด.. “ประชาธิปไตย 3 ระดับ”อย่างเป็นไปเองโดยไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลยอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ...เมื่อเลิกใช้ระบบเศรษฐกิจเจ้าครองนครที่ล้าหลังที่ผลิตพอกินพอใช้ที่ไม่มีส่วนแบ่งในผลผลิตให้แก่ทาส  แต่เมื่อใช้ระบบทุนนิยมแล้วจะเกิดผลผลิตที่เป็นรายได้แห่งชาติ(NationalIncome) และจะมีการแบ่งผลผลิตที่เป็นรายได้แห่งชาติให้แก่กรรมกรและทุกส่วนที่เกี่ยวของในระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ จะไม่มีการผลิตที่ไม่แบ่งผลผลิตแบบยุคทาสหรือยุคเจ้าครองนครอีกต่อไปแล้ว   การมีส่วนแบ่งในรายได้แห่งชาตินี่แหละคือ...“ประชาธิปไตยในเศรษฐกิจ”(Democracy in Economy)ซึ่งเป็นประชาธิปไตยขั้นต้น

เมื่อมีประชาธิปไตยในเศรษฐกิจแล้ว จะผลักดันให้เกิด.. “ประชาธิปไตยในการเมือง”อันเป็นประชาธิปไตยขั้นกลาง  นั่นคือเมื่อประชาชนมีส่วนแบ่งในรายได้แห่งชาติแล้ว ก็จะทำให้มีฐานะทางสังคมและมีพลังสามารถทำความเคลื่อนไหวเรียกร้องผลประโยชน์และสิทธิทางการเมืองมากขึ้นๆเป็นลำดับทั้งด้านเสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตยในเศรษฐกิจที่สูงขึ้นกว่าเดิมหรือมีส่วนแบ่งในรายได้แห่งชาติมากขึ้น นั่นเอง (ถ้าเป็นประเทศด้อยพัฒนาจะมีประชาธิปไตยในเศรษฐกิจน้อย ถ้าเป็นประเทศกำลังพัฒนาจะมีประชาธิปไตยในเศรษฐกิจมากขึ้น ถ้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วจะมีประชาธิปไตยในเศรษฐกิจมากที่สุด)  เพราะในอดีตการเมืองจำกัดอยู่กับราชวงศ์หรือการเมืองจำกัดอยู่กับอภิสิทธิ์ชน หรือการเมืองจำกัดอยู่กับนายทุนผูกขาดเท่านั้น   เช่นการเมืองเป็นเครื่องของพระมหากษัตริย์ การเมืองเป็นเรื่องของทหาร การเมืองเป็นเรื่องของนายทุนผูกขาด เป็นต้น  แต่เมื่อประชาชนมีประชาธิปไตยในเศรษฐกิจ  จึงทำให้ประชาชนมีประชาธิปไตยในการเมืองมากขึ้นไม่จำกัดอยู่เช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว  การเมืองเริ่มเคลื่อนย้ายมาเป็น...“การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน” ประชาชนสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการชุมนุม การหยุดงานทางการเมือง การแสดงประชามติการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย หรือการมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหมาย  มีเสรีภาพทางการเมืองในการรวมตัวกันเป็นกลุ่มสมัชชา สภา สหภาพ สหพันธ์ ชมรม  ฯลฯทั้งในรูปกลุ่มผลประโยชน์(Interest Group) และกลุ่มผลักดัน(PressuredGroup) มีทั้งองค์การมวลชน(Mass Organization)มีทั้งองค์การพรรค(Party Organization) มีทั้งองค์การรัฐ(StateOrganization) ฯลฯ มีการต่อสู้เคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองกันอย่างใหญ่โตมโหฬารและคึกโครมยืดเยื้อยาวนานสะสมประสบการณ์มากขึ้นเป็นลำดับ แต่ผู้ปกครองของระบอบเผด็จการก็ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการให้แก่ประชาชนคนทั้งประเทศได้  แต่กลับทำลายผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ประชาชนทำให้ประเทศชาติวิบัติหายนะล่มจม และทำให้ประชาชนอดอยากยากจนข้นแค้นแสนสาหัสล้มละลายสิ้นไร้ไม้ตอกสิ้นความเป็นคน ต่างชาติเข้ารุกรานแทรกแซงยึดครองชาติบ้านเมืองในทุกๆด้าน   ในท้ายที่สุด..“ประชาธิปไตยในการเมือง..ก็ผลักดันให้เกิด..ประชาธิปไตยในการปกครอง” นั่นคือประชาชนจึงตั้งองค์การรัฐ เช่น สภาประชาชน สภาปฏิวัติ สภาประชาธิปไตย ขึ้นปกครองแทนรัฐสภาและรัฐบาลชนิดเก่าของนายทุนผูกขาดในระบอบเผด็จการรัฐสภาเสื่อมโทรมอ่อนแอล้าหลังคอร์รัปชั่นสุดขีด เผด็จการรัฐสภาถูกแย่งชิงพื้นที่ทางการเมืองไปหมดสิ้นไม่มีที่ยืนทางการเมืองแต่ประชาชนกลับสามารถแย่งชิงพื้นที่ทางการเมืองได้อย่างกว้างขวางที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ประชาชนจึงยกระดับจากประชาธิปไตยในการเมืองขึ้นสู่ประชาธิปไตยในการปกครองขึ้นปกครองประเทศยึดกุมอำนาจรัฐ(State Power)และยึดกุมกลไกแห่งรัฐ(State Machine)ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  จึงเกิด... “ประชาธิปไตยในการปกครอง”ในท้ายที่สุด สถานการณ์เก่าที่เลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงจึงหมดสิ้นไปเปลี่ยนเป็นสถานการณ์ใหม่ที่สดใสดีงามเจริญรุ่งเรืองเป็นอนาคตใหม่ของประเทศชาติและประชาชน นั่นเอง
กล่าวโดยสรุป...ประชาธิปไตยในเศรษฐกิจคือมีส่วนแบ่งในรายได้แห่งชาติ...ประชาธิปไตยในการเมืองคือมีเสรีภาพในการชุมนุมและเคลื่อนไหวขนานใหญ่...ประชาธิปไตยในการปกครองคือมีสภาประชาชนและรัฐบาลเฉพาะกาลของประชาชนขึ้นปกครองประเทศนั่นเอง

5.ความขัดแย้ง(Contradiction) มีบทบาทสำคัญชี้ขาดผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาหรือ ทำให้เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตย ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันเป็นสัจธรรม(Truth) คือ“เอกภาพของด้านตรงข้ามที่ต่อสู้ขัดแย้งกัน” (Unity of the Opposite)สิ่งหนึ่งมีสองด้านที่ตรงข้ามกันต่อสู้ขัดแย้งกัน จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการพัฒนา ทำให้เกิดความก้าวหน้า  สังคม(Social)ที่ประกอบด้วย 3 ด้านคือ ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ  ด้านวัฒนธรรม  ก็อยู่ภายใต้กฎแห่งเอกภาพของด้านตรงข้ามที่ต่อสู้ขัดแย้งกัน
ความขัดแย้งมี 3 ชนิด คือ...

- ความขัดแย้งทางโครงสร้าง..ระหว่างด้านเศรษฐกิจ..กับ..ด้านการเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งของ..“พลังการผลิต..กับ..ความสัมพันธ์การผลิต” ของระบบทุนนิยมซึ่งเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง(Structural Contraction)
- ความขัดแย้งทางการปกครอง..ระหว่างด้านประชาชน..กับ..ด้านระบอบเผด็จการซึ่งเป็นความขัดแย้งหลัก(Principle Contradiction)
-ความขัดแย้งภายในขบวนการเผด็จการ...ระหว่างด้านเผด็จการทหาร..กับ..เผด็จการพลเรือนหรือระหว่างเผด็จการพลเรือนด้วยกันเอง เช่นพรรคฝ่ายค้าน..กับ..พรรคฝ่ายรัฐบาล  อันเป็นความขัดแย้ง(DictatorialContradiction) 

โดยปกติแล้วในช่วงต้นๆ ของระบอบเผด็จการ ความขัดแย้งในขบวนการเผด็จการ..จะเป็น..“ความขัดแย้งชี้ขาดความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์เฉพาะหน้า”   ส่วนความขัดแย้งทางโครงสร้างระหว่างระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมกับระบอบเผด็จการทางการเมืองและความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างประชาชนกับผู้ปกครองเผด็จการ...ยังไม่ใช่ความขัดแย้งชี้ขาดความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์เฉพาะหน้า
แต่เมื่อระบอบเผด็จการมีอยู่ยืนเก่าแก่ชราภาพ...ความขัดแย้งทางโครงสร้าง(StructuralContradiction)ระหว่างพลังการผลิต(Power of Production)..กับ..ความสัมพันธ์การผลิต(Relation ofProduction) ที่มีกรรมกร(Labour)..กับ..นายทุน(Capitalist)เป็นผู้แทนทั้ง2 ด้านนี้  ด้านพลังการผลิตจะมีความก้าวหน้าพัฒนาไปไม่หยุดยั้ง(Dynamic หรือ Active)แต่ระบอบเผด็จการจะทำให้ด้านพลังการผลิตจะล้าหลังไม่พัฒนา(Static หรือ Passive)มีการรวมศูนย์ทุนเป็นทุนผูกขาดกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบสูง สะท้อนอยู่ในความขัดแย้งของ.. “ระบบทุนนิยมเสรี(อุตสาหกรรม)..กับ..ระบอบเผด็จการรัฐสภาทางการเมือง” จนเกิดความขัดแย้งอัดแน่นจนปะทุระเบิดออกมาเป็นระยะๆ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจปี2540  ประชาชนทั้งชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางแม้แต่ชนชั้นบนระดับหนึ่งต้องล้มละลายอดอยากยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก ทำให้ประชาชนคนส่วนใหญ่ในประเทศเพิ่มความขัดแย้งรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณกับผู้ปกครองของระบอบเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดที่ร่ำรวยมหาศาลจากความล้มละลายของประชาชน  ประชาชนจึงออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างมากมายมหาศาลมากขึ้นเป็นลำดับ   ส่งผ่านความขัดแย้งไปสู่...“ความขัดแย้งในขบวนการเผด็จการ” ให้รุนแรงยิ่งขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ  โดยเผด็จการทั้ง 2ฝ่ายได้ระดับประชาชนเข้าต่อสู้กันมากมายยืดเยื้อมากยิ่งขึ้น โดยดึงเอาสถาบันต่างๆเข้าร่วมในการต่อสู้ขัดแย้งของผู้ปกครองเผด็จการรัฐสภาเช่น สถาบันกองทัพ สถาบันพระมหากษัตริย์ ต่างชาติ ฯลฯ  ดังนั้นความขัดแย้งภายในขบวนการเผด็จการจึงทวีความอัดแน่นและรุนแรงสูงยิ่งและมีขอบเขตกว้างขวางลึกซึ้งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

แต่ความขัดแย้งภายในขบวนการเผด็จการแม้จะทวีความอัดแน่นรุนแรงลึกซึ้งกว้างขวางสักเพียง...ก็ไม่อาจจะทำให้เป็น..“ความขัดแย้งชี้ชาดความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์เฉพาะหน้า” ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะความขัดแย้งในขบวนการเผด็จการถูกครอบงำโดยอำนาจความขัดแย้งที่ใหญ่โตมีพลังกว่าของความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างประชาชนกับผู้ปกครองเผด็จการ...ที่ถูกผลักดันครอบงำอีกชั้นหนึ่งจากความขัดแย้งทางโครงสร้างระหว่างระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมกับระบอบเผด็จการรัฐสภาทางการเมือง(ระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า..VS..ระบอบการเมืองที่ล้าหลัง)   ดังนั้น ความขัดแย้งทางการปกครองที่เกิดจากความขัดแย้งทางโครงสร้าง...จึงกลายเป็น..“ความขัดแย้งชี้ขาดความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์เฉพาะหน้า” ไปแล้ว  ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้จะเป็นไปตามความขัดแย้งทางโครงสร้าง หรือความขัดแย้งทางการปกครองจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง(Structure) หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง(Government)จึงเรียกการเปลี่ยนลักษณะนี้ว่า.. “การปฏิวัติ”(Revolution)การเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ การเปลี่ยนโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลงระบอบการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การเปลี่ยนแปลงจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งที่ก้าวหน้ากว่า ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงแค่เพียงรูปแบบหรือเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยผิวเผินตื้นเขินยังอยู่ระบอบเดิมโครงสร้างเก่าการปกครองเก่าอำนาจเก่าที่ไม่ใช่อำนาจประชาชนที่เรียกว่า..“การปฏิรูป”(Reform) นั่นคือ...ความขัดแย้งทางการปกครองที่เกิดมาจากความขัดแย้งทางโครงสร้างจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่คือ...“การปฏิวัติประชาธิปไตย” หรือ การสร้างประชาธิปไตยที่จะต้องยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา แล้วสร้างระบอบประชาธิปไตย  นั่นคือการเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย..มาเป็น..อำนาจอธิปไตยของปวงชนคนทั้งประเทศ(Sovereigntyof the people) แล้วนำเอาระบอบประชาธิปไตยหรือนำเอาอำนาจอธิปไตยของปวงชน...ไปสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ...แล้วไปสร้างระบบเศรษฐกิจแห่งชาติแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงให้แล้วเสร็จเช่น การปฏิรูปที่ดิน(Land Reform) หรือการกระจายทุน ยกเลิกการรวมศูนย์ทุน หรือยกเลิกระบบเจ้าที่ดิน(Landlordism)กระจายกรรมสิทธิ์เอกชน(Private Ownership)ที่ผูกขาดอยู่ในกำมือของคนส่วนน้อยออกไปให้กว้างขวางที่สุดไปสู่กรรมสิทธิ์เอกชนในที่ดินของชาวนาชาวไร่เกษตรกรคนส่วนใหญ่ของประเทศและนำเอาพันธบัตรที่ได้จากการเวนคืนที่ดินจากเจ้าที่ดินไปกระจายทุนให้แก่ภาคอุตสาหกรรมโดยการนำเอาพันธบัตรดังกล่าวไปลงทุนในรัฐวิสาหกิจจำนวนกว่า 50แห่งทั่วประเทศ อันเป็นการกระจายทุนในภาคเกษตรกรรมกับกระจายทุนในภาคอุตสาหกรรมอย่างสัมพันธ์สอดคล้องให้เกิดดุลยภาพกัน(Equilibrium)ทำให้ระบบเศรษฐกิจแห่งชาติเกิดความสำเร็จทั้งระบบจาก..เกษตรกรรม..สู่..อุตสาหกรรม..สู่..พาณิชยกรรม..สู่..การคมนาคมขนส่ง..สู่..การค้าระหว่างประเทศ..สู่..การเงินการคลัง..สู่..ความมั่งคั่งแห่งชาติฯลฯ  ความยากจนของประชาชนก็จะหมดไปความมั่งมีความผาสุกก็จะบังเกิดขึ้น ระบบเศรษฐกิจแห่งชาติของไทยก็จะเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลกคือ... “เสรีนิยม + รัฐวิสาหกิจ + เศรษฐกิจพอเพียง”   

กล่าวโดยสรุป...ความขัดแย้งทางการปกครองที่เกิดจากความขัดแย้งทางโครงสร้างที่ครอบงำความขัดแย้งความขัดแย้งในขบวนการเผด็จการ...จะทำความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยอำนาจของประชาชนเท่านั้นคือ...“สภาประชาชนปฏิวัติฯ และรัฐบาลเฉพาะกาล” นั่นเอง อันเป็นการปกครองเฉพาะกาล(ProvisionalGovernment)  จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงที่เกิดความขัดแย้งภายในขบวนการเผด็จการเช่นเดิมได้อีกต่อไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร หรือการเลือกตั้งแบบเผด็จการ หรือการปฏิรูป ฯลฯ  จึงเกิด..“ปรากฏการณ์ตีบตันสุดขีดทั่วด้านไม่มีทางออกอย่างสิ้นเชิง”(GeneralDead Lock)ของระบอบเผด็จการรัฐสภาอันเป็นธาตุแท้(Essence)ที่เป็นสถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูงสุดของฝ่ายประชาชนหรือเป็นสภาวะอนาธิปไตยสุดขีดของฝ่ายผู้ปกครองเผด็จการ

6. แม้ว่าสถานการณ์ปฏิวัติจะมีกระแสสูงสักเพียงใดก็ตามหรือสภาวการณ์ของประเทศที่จะเปลี่ยนแปลงจะสุกงอมเพียงใดก็ตามจะมีผู้คนมากมายสักเท่าใดที่ออกมาเคลื่อนไหวผลักดันการเปลี่ยนแปลง...แต่ก็ทำการเปลี่ยนแปลงหรือทำการปฏิวัติ หรือทำการสร้างประชาธิปไตยไม่ได้อย่างสิ้นเชิง  เพราะการพัฒนาของประเทศไทย..กับ..ประเทศตะวันตกมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะวิถีการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยอันเป็นประเทศตะวันออกของโลกนั้นเป็น...“วิถีโมกษธรรมกำหนด”(DhammaDeterminism)ซึ่งกำหนดจากโครงสร้างชั้นบน(Super Structure)..สู่..โครงสร้างชั้นล่าง(InfraStructure)หรือจาก..บน..สู่..ล่างแต่วิถีการเปลี่ยนแปลงของประเทศตะวันตกนั้นเป็น... “วิถีเศรษฐกำหนด” (EconomicDeterminism) ซึ่งกำหนดจากโครงสร้างขั้นล่าง(Infra Structure)..ขึ้นสู่..โครงสร้างชั้นบน(SuperStructure)จาก..ล่าง..สู่..บน  

ดังนั้น  จึงเกิดปรากฏการณ์ความขัดแย้ง..ระหว่าง..“วิถีโมกษธรรมกำหนด..VS..วิถีเศรษฐกำหนด” ในประเทศไทย  นั่นคือ...
(1) ไม่มีลัทธิใดที่จะนำเอาทำการเปลี่ยนแปลงประเทศได้สำเร็จเลยไม่ว่าลัทธิประชาธิปไตย(Democracy) หรือลัทธิคอมมิวนิสต์(Communism)ซึ่งเป็นวิถีเศรษฐกำหนดแบบตะวันตก
(2) ลัทธิสากลที่มาจากตะวันตกจะพ่ายแพ้ต่อประเทศไทย(สยาม) เช่นลัทธิล่าอาณานิคม  ลัทธิคอมมิวนิสต์หรือลัทธิปฏิวัติรุนแรง(Violent Revolution) เช่นลัทธิล่าอาณานิคมพ่ายแพ้ต่อการปฏิวัติสันติของ ร.5 และลัทธิคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ต่อการปฏิวัติสันติของนโยบาย 66/23   ซึ่งเป็นวิถีโมกษธรรมกำหนดแบบตะวันออก

ประเทศไทยได้ก่อตั้งชาติในยุคสมัยโบราณติดต่อสมัยกลางเมื่อประมาณเกือบ 1,000 ปี  ได้นำเอาทศพิธราชธรรมอันมีลักษณะเป็นโมกษธรรมจากพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งอนัตตา...มาเป็น..“หลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”(Principle of Thai Monarchy)  และนำเอามาเป็น.. “หลักการปกครองของประเทศ”(Principleof Government) จึงเป็นการนำเอา... “โมกษธรรมกำหนด”เริ่มจากด้านจิตวิญญาณ...มาสู่...ด้านเมืองการปกครอง...มาสู่...มาสู่...ด้านสังคม-วัฒนธรรม...มาสู่...ด้านเศรษฐกิจ”  ทำให้มีลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่งกว่าประเทศใดๆในโลกคือ...

- รักความเป็นไท(Love of Independence)
- อหิงสา (Non – Violence)
- รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation) 

พระมหากษัตริย์ได้นำเอาลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยทั้ง 3ยกระดับขึ้นเป็น.. “นโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ” ของไทยตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย...จึงทำให้เราสามารถต่อสู้เอาชนะต่างชาติได้ตลอดมา  ดังนั้นลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่งทั้ง 3นี้สูกว่าลักษณะสากลของตะวันตกจึงมีชัยชนะต่างชาติตลอดมา...ฉะนั้น  ลักษณะทั้ง 3ของไทยนี้...นอกจากจะเป็น.. “ลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่ง”..แล้ว...ยังเป็น..“ลักษณะสากลอันสูงส่ง”..อีกด้วย

การปฏิวัติประชาธิปไตยของไทย...ที่พระมหากษัตริย์ไทยคือ ร.5 ร.6 ร.7ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตยสากลนิยมที่เป็น.. “ลัทธิเศรษฐกำหนด”(EconomicDeterminism) มาประยุกต์ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย...โดยทรงนำเอา... “โมกษธรรมกำหนด”(DhammaDeterminism) ไปต่อยอดลัทธิประชาธิปไตยของตะวันตก...เป็น..“การปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรม”(Buddhist Peaceful Revolution) อันเป็นการ..“มนุษย์ปฏิวัติ”(Human Revolution) ที่แก้ไขได้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจสังคม-วัฒนธรรม อันเป็นภาววิสัยภายนอก(Objective)และแก้ไขลักษณะนิสัยใจมนุษย์อันเป็นอัตวิสัย(Subjective)ภายในไปพร้อมๆกันไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครั้งแรกในโลก(Novelty) เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงกำหนดได้ถูกต้องสอดคล้องจึงสามารถปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรมในประเทศไทยได้สำเร็จในขั้นตอนที่ 1มีผลใหญ่หลวงให้การปฏิวัติสันติของไทยต่อสู้เอาชนะลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศยุโรปตะวันตกที่ปฏิวัติรุนแรง(ViolentRevolution)  

แต่คณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า ร.7ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กำลังปฏิวัติสันติขั้นตอนสุดท้ายต่อจากขั้นตอนแรกของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงร.5 แล้วสร้างการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการ  ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้สำเร็จกลายเป็นระบอบเผด็จการ 2 รูป คือ ระบอบเผด็จการรัฐประหาร และระบอบเผด็จการรัฐสภามาเป็นเวลาถึง 81 ปีตั้งแต่เปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475  การใช้ความรุนแรงตามแบบประเทศยุโรปตะวันตกของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่สอดคล้องกับ...“วิถีโมกษธรรมกำหนด”..ของไทยที่มีมาเกือบพันปี

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท) ได้นำเอาลัทธิคอมมิวนิสต์สากลจากยุโรปตะวันตก..ซึ่งเป็น..“วิถีเศรษฐกำหนด”(Economic Determinism)มาเปิดการปฏิวัติรุนแรงทำสงครามปฏิวัติในประเทศไทยซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีโมกษธรรมกำหนดของไทยที่สูงส่งกว่า  จึงประสบความพ่ายแพ้ไปในที่สุดต่อนโยบาย 66/23อันเป็นการปฏิวัติสันติด้วยหลักพุทธอหิงสาธรรม นั่นคือ...เอา“การปฏิวัติสันติ..ต่อสู้เอาชนะ..การปฏิวัติรุนแรง”
7. ประเทศไทยเป็น.. “จุดยุทธศาสตร์โลก”(World Strategic Point) ดังนั้นเมืองไทยจึงนำโลก เช่น
7.1 ประเทศไทยเป็นแหลมทองที่อยู่ใน.. “ภูมิรัฐศาสตร์”..ที่ดีเยี่ยมที่สุด
7.2 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขายในตะวันออกในสมัยพระนารายมหาราช
7.3 พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทยตลอดมากลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก  เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีทศพิธราชธรรมเป็นหลักการ  และมีประชาชนที่เป็นชาวพุทธที่ดีที่สุด และมีพระภิกษุมากมายจำนวนมากตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันปัจจุบันมีจำนวนถึง 3 – 5 แสนรูปและมีวัดจำนวน 4 หมื่นวัดทั่วประเทศ  พุทธศาสนาในประเทศไทยมีทั้ง 2 ด้าน คือมหานิกายที่มีลักษณะเชื่อมประสานกับสังคมไทยได้อย่างดีที่สุด(Socialization)และธรรมยุตนิกายซึ่งมุ่งไปสู่ความหลุดพ้น(Enlightenment) จึงทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยจึงมีความเข้มแข็งและเป็นเอกภาพของ 2 นิกายที่ตรงข้ามกัน(Unity ofthe Opposite)
7.4 สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร.5ได้ทรงนำเอา...“การปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติด้วยหลักพุทธอหิงสาธรรม”...เข้าต่อสู้เอาชนะ...ลัทธิล่าอาณานิคมที่เป็นความรุนแรง จนทำให้ลัทธิล่าอาณานิคมต้องพ่ายแพ้ไปในประเทศไทยและพ่ายแพ้ไปทั้งโลกในเวลาต่อมา
7.5 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท)ได้นำเอาลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เป็นต่อสู้เพื่อปฏิวัติคอมมิวนิสต์ด้วยความรุนแรงอันเป็นตามวิถีเศรษฐกำหนด  รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ได้นำเอาการปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม ในรูปของนโยบาย 66/23เข้าต่อสู้เอาชนะลัทธิคอมมิวนิสต์ และทำให้คอมมิวนิสต์ล่มสลายลงทั่วโลก  ดังที่นายแก้วขวัญ วัชโรทัยรองราชเลขาธิการฝ่ายกิจการพิเศษ ได้บรรยาย ณวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรในอดีตว่า...

“นโยบาย 66/23 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นผู้เซ็น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธเป็นผู้ปฏิบัติ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรเป็นผู้ออกไอเดีย”  แต่อาจารย์ประเสริฐ ได้ชี้แจงในหนังสือนายประเสริฐชี้แจงว่า...“เจ้าของไอเดียคือสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 7 อาจารย์ประเสริฐเป็นผู้นำเอกไอเดียของพระปกเกล้า ร.7มาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์” และอาจารย์ประเสริฐ ได้ชี้ให้เห็นว่า...
 “ลัทธิคอมมิวนิสต์มีความผิดพลาดสำคัญที่สุดอยู่3 ข้อ คือ...
(1) คาร์ลมาร์กซ์ ยังแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุไม่ตก อันเป็นความผิดพลาดที่สำคัญที่สุดของลัทธิเพราะเป็นความผิดพลาดทางทฤษฎีทางปรัชญาซึ่งเป็นหัวใจของลัทธิ  เพราะยึดถือปรัชญาวัตถุนิยม(Materialism)ไม่ยึดถือจิตนิยม(Spiritualism)อย่างถูกต้องกับความสัมพันธ์ที่เป็นความจริงแท้(Reality)ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ยังคงแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุจึงสรุปอย่างหมดปัญญาว่า... “Matter isnot Mind, Mind is not Matter” (วัตถุไม่ใช่จิต, จิตไม่ใช่วัตถุ)  จิตนิยมซึ่งมีคุณธรรมสูง เช่น พระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง (Creator) แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์บางนิกายถือว่า..“คุณธรรมคือสัจธรรมอัตวิสัย”(Subjective truth) คุณธรรมมนุษย์คิดเอาเอง ไม่ใช้สัจธรรมภาววิสัย(ObjectiveTruth)ถือว่าคุณธรรมเป็นเพียงภาพสะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์เท่านั้นเอง  คุณธรรมไม่มีอยู่จริงในความจริงแท้ของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์  ถึงขั้นถือว่า..“ไร้ความกรุณาปราณีอย่างสิ้นเชิง”(Mercilessness)   มาร์กซ์ถือว่า...“จิตเป็นภาพสะท้อนของวัตถุในสมองคนเท่านั้น” จิตไม่ใช่ความจริงแท้(Reality)เป็นเพียงภาพสะท้อนของวัตถุ(Reflection)เท่านั้น
อาจารย์ประเสริฐทรัพย์สุนทร ได้แก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุตกไปเป็นครั้งแรกในโลกโดยได้แก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง.. “พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้าง(Creator)หรือบ่อเกิดซึ่งเป็นจิตนิยม(Spiritualism)คุณธรรม...กับ...สรรพสิ่งและปรากฏการณ์ความมี(Existence) เช่น 1 2 3 4 5…. กฎเกณฑ์(Law) สังขตธรรมซึ่งเป็นวัตถุนิยม(Materialism)”โดยแก้ไขจิตนิยมกับวัตถุนิยมที่ยังไม่ถูกต้องให้ถูกต้องเสีย  คือ...

- เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้าง(Creator)ในฐานะบ่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีบ่อเกิด หรือมีพระผู้สร้าง ที่เรียกว่า..“พระผู้เป็นเจ้า”(God) ซึ่งเป็นความหมายที่ถูกต้อง 

- พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่กฎ(Law)เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระผู้สร้างที่สร้าง..“กฎ”แล้วกฎจะเป็นพระผู้เป็นเจ้าหรือเป็นพระผู้สร้าง(Creator)หรือเป็นบ่อเกิดได้อย่างไร

- พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์(Man)เพราะแม้ว่ามนุษย์จะรู้กฎเกณฑ์และนำเอามาใช้ประโยชน์ได้ก็ตาม  มนุษย์ยังตกอยู่ภายใต้กฎเช่น อนิจจัง ทุกขังอนัตตา หรือ เกิดแก่เจ็บตาย 

- พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่สัจธรรม(Truth)เพราะสัจธรรมคือคุณธรรมอันเป็นคุณสมบัติของพระผู้เป็นเจ้า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีคุณธรรมสูงสุด”คุณธรรมเป็นคุณสมบัติของพระผู้เป็นเจ้าคุณธรรมที่เป็นสัจธรรมภาววิสัยจะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร 

- พระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง(Creator)หรือบ่อเกิด..คือ..สุญญตา หรือ “0” หรือ ความไม่มีหรือ อนัตตา หรือ อสังขตธรรม หรือความไม่ขัดแย้ง(Non-Contradiction) รวมเรียกว่า “จิตนิยม”ในความหมายที่ถูกต้องไม่เหมือนจิตนิยมที่ยังไม่ถูกต้องในอดีต

- สังขตธรรม...เกิดจาก...อสังขตธรรม(พระผู้สร้าง)

- ความมี...เกิดจาก...ความไม่มี(พระผู้สร้าง)

- 1 2 3 4 5 ...เกิดจาก... 0 (พระผู้สร้าง)
- ความขัดแย้ง...เกิดจาก...ความไม่ขัดแย้ง (พระผู้สร้าง)

- คุณธรรม...เกิดจาก...อนัตตา(พระผู้สร้าง)

หมายเหตุ...เมื่อคาร์ล มาร์กซ์...ไม่สามารถแก้ปัญหาทฤษฎีทางปรัชญาว่าด้วย..“ความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุที่ถูกต้อง”ไปกำหนดเป็นทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ และไปกำหนดเป็นทฤษฎีทางรัฐศาสตร์และทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์จึงเกิดความผิดพลาดต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันมาเป็นลำดับ เมื่อนำเอาลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ประกอบด้วยทฤษฎีทางปรัชญา ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์...มายึดถือปฏิวัติก็จะเกิดความล้มเหลว เพราะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์อันเป็นสัจธรรม(Truth)ที่มาจากความจริงแท้(Reality)
(2) คอมมิวนิสต์เอาการนำการปฏิวัติไว้ที่.. “ชนกรรมาชีพ”ให้ชนกรรมาชีพเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพ(เผด็จการคอมมิวนิสต์)ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงต่อมา  การนำการปฏิวัติที่ถูกต้องและปลอดภัยคือ...“เอาการนำไปไว้ที่ประชาชน”  หรือเอาอำนาจอธิปไตยไว้ที่ประชาชนหรือระบอบประชาธิปไตย หรือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน(Sovereigntyof the people)เพราะเผด็จการหรือคนเห็นแก่ตัวจะสร้างสังคมที่ไม่เห็นแก่ตัวได้อย่างไร
(3) ความขัดแย้งระหว่างคาร์ล มาร์กซ์ กับ วี.ไอ.เลนิน ในปัญหาว่า..“ต้องปฏิวัติพร้อมกันทั้งโลก..กับ..ต้องปฏิวัติในประเทศที่มีความสุกงอมก่อนแล้วขยายต่อไปสู่ประเทศอื่น”  การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ของคาร์ลมาร์กซ์จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งโลก และจะต้องเกิดต่อจากยุคทุนนิยมเฟื่องฟูอันเป็น..“จักรพรรดินิยม”(Imperialism)ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของยุคทุนนิยม(TheImperialism is the last stage of the Capitalism) ซึ่งจะเป็นไปเองตามกฎเกณฑ์ การทำผิดกฎเกณฑ์ก็ทำให้เกิดความล้มสลายในท้ายที่สุด

เมื่อประเทศไทยได้ใช้นโยบาย 66/23ที่เป็นการปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมที่มี..“ทฤษฎีทางปรัชญาที่แก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุตกแล้วดังกล่าวข้างต้น”ไปต่อสู้เอาชนะลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีทฤษฎีที่ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์บริบูรณ์ดังกล่าวจึงทำให้คอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ล่มสลายไปทั่วโลกเป็นโดมิโน่ประเทศไทยจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลก เป็นผู้ยุติโลกยุคสงครามเย็น(Cold War)ลงได้และทำให้การปฏิวัติสันติการปฏิวัติรุนแรง และสันติภาพโลกถาวร(LastingWorld Peace)กำลังจะเกิดขึ้นโดยประเทศไทยนำโลกด้วยการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรมให้สำเร็จ  นี่คือ ปรากฏการณ์.. “วิถีโมกษธรรมกำหนด(Dhamma Determinism)ของวิถีไทยตะวันออก...ครอบงำ...วิถีเศรษฐกำหนด(EconomicDeterminism)ของวิถีฝรั่งตะวันตก” นั่นเอง
8. ลัทธิรัฐธรรมนูญ(Constitutionalism)ซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการ ได้กลายเป็นอุปสรรคของการปฏิวัติสันติหรือการสร้างประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงที่สุดในประเทศไทย คณะราษฎรได้ทำลายการสร้างประชาธิปไตยลงเมื่อวันที่  24 มิถุนายน 2475  ด้วยการทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า ร.7 ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่กำลังทำการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม คณะราษฎรได้สร้างระบอบรัฐธรรมนูญตามความคิดลัทธิรัฐธรรมนูญขึ้นแทน  และกลายเป็น “คณาธิปไตย”(Oligarchy)และเป็นระบอบเผด็จการ 2 คือ ระบอบเผด็จการรัฐสภา(เผด็จการพลเรือน)และระบอบเผด็จการรัฐประหาร(เผด็จการทหาร)   ดังนั้น ฝ่ายคณะราษฎรจึงเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ หรือปฏิวัติซ้อน(CounterRevolution) นั่นคือ “ฝ่ายปฏิวัติผิดที่ทำลายการปฏิวัติถูก” ฝ่ายพระปกเกล้า ร.7จึงเป็นฝ่ายปฏิวัติ(Revolution) ตามเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่าด้วย..“คณะราษฎรอุปสรรคความสำเร็จการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย” โดยนายประเสริฐทรัพย์สุนทร
คณะราษฎรได้นำเอาลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการมาสร้างระบอบรัฐธรรมนูญ(ConstitutionalRegime) จนทำให้เกิดปัญหาชาติปัญหาใหม่ขึ้นมาอีกปัญหาหนึ่งคือ..“ปัญหาความเห็น” หรือ “ปัญหาทฤษฎี”(Theoretical Problem) คือ...

- เห็นผิดว่าลัทธิรัฐธรรมนูญ..คือ..ลัทธิประชาธิปไตย...โดยแท้จริงคือลัทธิเผด็จการ

- เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญ..คือ..ประชาธิปไตย...โดยแท้จริงคือกฎหมายหลัก(PrincipleLaw)

- เห็นผิดว่าระบอบเผด็จการรัฐสภา..คือ..ระบอบประชาธิปไตย...โดยแท้จริงคือระบอบเผด็จการ

-เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญ..คือ..เครื่องมือสร้างประชาธิปไตย...โดยแท้จริงคือเครื่องมือรักษาระบอบหรือรัฐธรรมนูญคือเครื่องสะท้อนระบอบ นโยบาย(Policy)ต่างหากคือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตยตามระบบความคิด(System ofThinking หรือ Ideology) อันประกอบด้วยจุดยืน(Standpoint) กับวิธีคิด(Way ofThinking) จุดยืนประกอบด้วย จุดยืนเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ส่วนรวม  วิธีคิดประกอบด้วย...(1) ทฤษฎี(Theory) (2) แนวทาง(Line) 

(3) หลักนโยบาย(Program หรือ Platform) (4)นโยบาย(Policy) (5) มาตรการ(Measure) และวิธีการ(Mean) (6) ยุทธศาสตร์(Strategy)และยุทธวิธี(Tactic)  ไม่มีรัฐธรรมนูญแต่อย่างใดไม่

-เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญจะสร้างความเจริญ...โดยแท้จริงแล้วประชาธิปไตยจะสร้างความเจริญ

-เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญ..คือ..กฎหมายสูงสุด...โดยแท้จริงแล้วความมั่นคงแห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ตามหลักนิติธรรม(Rule of Law) นายปรีดีพนมยงค์ ได้ยืนยันว่า... “รัฐธรรมนูญ..คือ..กฎหมายแม่บทสูงสุด”(FundamentalLaw) ไม่ใช่กฎหมายกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)รัฐธรรมนูญเป็นเพียงภาพสะท้อนระบอบของรัฐ หรือรัฐธรรมนูญเป็นส่วนประกอบของรัฐ(State)เท่านั้นย่อมต่ำกว่ารัฐ  แต่ความมั่นคงของรัฐเป็นกฎหมายสูงสุดเพราะรักษาความมั่นคงของรัฐ ปกป้องคุ้มครองพิทักษ์รักษารัฐ  ถ้าไม่มีรัฐก็ไม่มีรัฐธรรมนูญ รัฐอยู่ไม่ได้รัฐธรรมนูญหรืออะไรในรัฐก็อยู่ไม่ได้ 

-เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญ..คือ..องค์คุณเอกภาพของประเทศไทย...โดยแท้จริงแล้วองค์คุณเอกภาพของประเทศไทยคือ“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งมีความเป็นสถาบัน(Institution)แต่รัฐธรรมนูญไม่มีความเป็นสถาบันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ฝ่ายปฏิวัติสันติ(Peaceful Revolution) หรือฝ่ายสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ  ได้ต่อสู้เอาชนะลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการที่เป็นการปฏิวัติซ้อนที่รุนแรง  เพื่อสร้างประชาธิปไตยรักษาชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์  หลายครั้งในอดีตเช่น....


ครั้งที่ 1....สมเด็จพระปกเกล้า ร.7และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ทำการปฏิวัติสันติต่อสู้เอาชนะคณะราษฎรที่เป็นฝ่ายลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นลัทธิเผด็จการ...ด้วยการใช้กฎหมายสูงสุด(Supreme Law)เป็นทางดำเนินการในการโอนอำนาจอย่างสันติไม่ใช่การรัฐประหารที่รุนแรงและผิดกฎหมายเพื่อยุติความรุนแรงจากนโยบายการเมืองเผด็จการ และจากนโยบายเค้าโครงเศรษฐกิจซ้ายจัด(สมุดปกเหลือง)เพื่อสร้างการเมืองระบอบประชาธิปไตยและสร้างระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมโดยการตราพระราชกฤษฎีกาปิดการประชุมสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่  งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราด้วยการใช้กฎหมายสูงสุดคือความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของรัฐให้อำนาจแก่พระราชกฤษฎีกา(Royal Decree)  เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง24 มิถุนายน 2475 เป็นระบอบรัฐธรรมนูญแล้วประมาณ 1 ปี  ดังคำแถลงการณ์ของรัฐบาลว่า...
...“เป็นการตรงกันข้ามแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยาม  และเป็นที่เห็นได้โดยแน่นอนทีเดียวว่านโยบายเช่นนั้นจักนำมาซึ่งความหายนะแก่ประชาราษฎรและเป็นมหันตภัยแก่ความมั่นคงของประเทศ” และ “ความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุดไม่ว่าในบ้านเมืองใด และโดยคติเช่นนี้เท่านั้นที่บังคับให้รัฐบาลต้องปิดสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่”

หมายเหตุ...แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476 คณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจคืนและเดินหน้านโยบายการเมืองระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบเผด็จการ 2 รูปจึงยังให้เกิดความหายนะทรุดโทรมแก่ชาติบ้านเมืองและเกิดความอดอยากยากจนแก่ประชาชนตลอดมา
ครั้งที่ 2 รัฐบาลจอมพลถนอม ได้ใช้การปฏิวัติสันติ สร้างประชาธิปไตยต่อสู้กับการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์อินโดจีนและคอมมิวนิสต์ไทย โดยได้ใช้แนวทางประชาธิปไตย ร.5 ร.6 ร.7เข้าทำปฏิวัติสันติโดยก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยคือ.. “พรรคสหประชาไทย” และออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่110/12 ปฏิเสธทฤษฎีโดมิโน่(Domino Theory)ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นลัทธิแพ้(Defeatism)เป็นนโยบายความเป็นกลาง(Neutral Policy)ในสงครามกลางเมืองของประเทศคอมมิวนิสต์อินโดจีนไม่ส่งทหารเข้าไปช่วยรบในประเทศเวียดนาม ลาว เขมรอันเป็นลักษณะแทรกแซงกิจการภายใน(Internal Affaire)ที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศตามสนธิสัญญากรุงเฮกอันเป็นการทำลายเงื่อนไขที่คอมมิวนิสต์อินโดจีนจะบุกยึดประเทศไทยเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ลงอย่างสิ้นเชิง ภายในประเทศก็ทำการปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยโดยพรรคสหประชาธิปไตยดังคำขวัญของรัฐบาลที่ว่า.. “จะชนะคอมมิวนิสต์ ต้องสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ...ถ้าสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จก็จะชนะคอมมิวนิสต์”   จึงทำให้มีชนะต่อความรุนแรงของลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการและชนะต่อการปฏิวัติรุนแรงของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการถูกคอมมิวนิสต์อินโดจีนบุกยึดประเทศ

หมายเหตุ...แต่น่าเสียดายจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ทำรัฐประหารตนเองและยกเลิกการสร้างประชาธิปไตย(การปฏิวัติสันติ)โดยพรรคสหประชาไทย  จึงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

ครั้งที่ 3....ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ โดยนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรและทหารประชาธิปไตย ฯลฯ ได้ทำการผลักดันกองทัพแห่งชาติและรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ให้ต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์และลัทธิรัฐธรรมนูญ...ด้วยการปฏิวัติสันติหรือการปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution)หรือการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรม  โดยได้นำเอาแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติของกรรมกรไทยเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 ที่นำเอามาจากแนวทางประชาธิปไตยของ ร.5 ร.6 ร.7รัฐบาลพลเอกเปรมติณสูลานนท์ จึงได้ประยุกต์ขึ้นเป็น.. “นโยบาย 66/23”ซึ่งเป็นนโยบายแห่งชาติ(National or State Policy)ซึ่งเป็นสร้างประชาธิปไตย 2ระดับ คือ...

- สร้างประชาธิปไตยระดับต่ำ...เพื่อยุติสงครามกลางเมือง(Civil War) 

- สร้างประชาธิปไตยระดับสูง...เพื่อต่อสู้เอาชนะเผด็จการทุกชนิดในประเทศทั้งเผด็จการรัฐสภา เผด็จการทหาร เผด็จการคอมมิวนิสต์(การสร้างประชาธิปไตยด้วยการยกเลิกเผด็จการรัฐประหารและเผด็จการรัฐสภา...คือ..การทำลายเงื่อนไขการทำสงครามปฏิวัติหรือสงครามประชาชน(People ‘sWar)ของคอมมิวนิสต์เมื่อคอมมิวนิสต์ไม่สามารถทำสงครามประชาชนได้ก็ไม่มีทางที่จะมีชัยชนะยึดประเทศได้จึงเป็นชัยชนะต่อคอมมิวนิสต์อย่างเป็นไปเอง นั่นเอง)

นโยบาย 66/23 มีลักษณะเป็น.. “กฎหมายสูงสุด”(Supreme Law)เพราะเป็นการรักษาความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของประชาชนภัยจากคอมมิวนิสต์ที่จะทำลายอำนาจรัฐ ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์“ความมั่นคงของรัฐเป็นกฎหมายสูงสุด” ดังนั้น นโยบาย 66/23จึงสามารถยุติการปฏิบัติรัฐธรรมนูญตามลัทธิรัฐธรรมนูญและยุติการใช้ พ.ร.บ.การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์(กฎหมายเผด็จการ)  เพราะกฎหมายสูงสุดได้ให้อำนาจแก่นโยบาย  66/23จึงมีอำนาจเหนือกว่าและงดใช้รัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์อย่างเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย 66/23ได้นำเอาปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมที่สรุปมาจาก...ลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงสุด 3 การ คือรักความเป็นไท(Love of Independence) อหิงสา(Non-violent)รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation)ที่เหนือกว่าลักษณะสากลของลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิประชาธิปไตยตะวันตก และได้นำเอาปรัชญาที่ได้แก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุที่ตกแล้วถูกต้องแล้วไปต่อสู้เอาชนะปรัชญาของลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิปฏิวัติรุนแรง(ViolentRevolution) จึงทำให้เกิดความล่มสลายของคอมมิวนิสต์ทั่วโลก  สิ้นสุดยุคสงครามเย็น เข้าสู่ขอบเขตปริมณฑลของยุคสันติภาพโลกถาวร  ประเทศไทยจึงเป็นผู้นำสร้างสันติภาพโลกถาวร(LastingWorld Peace)ด้วยการปฏิวัติสันติโดยนโยบาย 66/23 นั่นเอง 

หมายเหตุ...แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลพลเอกเปรม และกองทัพแห่งชาติ ได้ปฏิบัตินโยบาย 66/23ได้เพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้น  ยังเหลือขั้นตอนที่2 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับสูงยังไม่ได้ปฏิบัติให้แล้วเสร็จ คือสร้างอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน(Sovereignty of the people)โดยมีการปกครองเฉพาะกาล(Professional Government) เช่นสภาประชาชน และรัฐบาลเฉพาะกาล เข้ามาทำหน้าที่สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จเท่านั้น   เพราะทหารเข้าใจผิดว่า..“การชนะสงคราม..คือ..การชนะคอมมิวนิสต์” นั่นเอง ไม่เข้าใจว่า.. “การเอาชนะเผด็จการทุกชนิด..คือ...การชนะคอมมิวนิสต์”  ดังนั้นระบอบเผด็จการรัฐสภาก็ยังคงดำรงอยู่สร้างความวิบัติหายนะให้แก่ประเทศชาติและประชาชน  และคอมมิวนิสต์ก็ทำการเคลื่อนไหวด้วยยุทธวิธีแนวร่วม(UnitedFront)เข้าทำแนวร่วมกับขบวนการแนวร่วมหรือเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหารอย่างใหญ่โตมโหฬารอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งกำลังจะก่อสงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมเพื่อทำลายอำนาจรัฐเก่ายึดประเทศต่อไป

ครั้งที่ 4....ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ทหารประชาธิปไตย สภากรรมกรแห่งชาติสภานักศึกษาแห่งชาติ สภาเกษตรกรแห่งชาติ พรรคแรงงานประชาธิปไตย  ฯลฯ ตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23ได้ร่วมกันทำการปฏิวัติสันติขั้นตอนสุดท้าย ด้วยการตั้งการปกครองเฉพาะกาลในรูปของสภาประชาชนและรัฐบาลเฉพาะกาลคือ...“สภาปฏิวัติแห่งชาติ” (National Revolutionary council)หรือสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ณโรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ  และต่อเมื่อเมื่อปีพ.ศ. 2532 ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง “โอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ”และเตรียมถวายร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติโดยอาศัยกฎหมายสูงสุดเป็นทางดำเนินการเช่นเดียวกับแบบอย่างของสมเด็จพระปกเกล้า ร.7  และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476  แต่ถูกรัฐบาลชาติชายของระบอบเผด็จการรัฐสภาจับกุมคุมขังในข้อหากบฏภายในราชอาณาจักรตาม ม. 116 และสภาปฏิวัติแห่งชาติโดยคณะกรรมการชุดใหม่โดยนายสมาน ศรีงามประธานกรรมการฯได้มีคำสั่งให้ยุติมาตรการการโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติไว้ชั่วคราวก่อน  แล้วมีคำสั่งให้เปิดการต่อสู้เพื่อเอาชนะต่อเผด็จการรัฐสภาในเวทีศาลยุติธรรม อันเป็นมาตรการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรมมาตรการหนึ่งตามเงื่อนไขของสถานการณ์อันเป็นภาวะวิสัยเปิดโอกาสให้ สภาปฏิวัติแห่งชาติได้ทำการต่อสู้ด้วยการปฏิวัติสันติในเวทีศาลยุติธรรมเป็นเวลากว่า5 ปี ปรากฏว่า... “การปฏิวัติสันติของสภาปฏิวัติแห่งชาติ...มีชัยชนะต่อ..เผด็จการรัฐสภาโดยรัฐบาลชาติชายโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด”ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องสภาปฏิวัติแห่งชาติไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใดทั้งสิ้น  นี่คือชัยชนะของประชาชน และชัยชนะของการปฏิวัติสันติ  อีกครั้งหนึ่ง นั่นเอง   และเหลือเพียงประชาชนทั้งประเทศมาร่วมกันเคลื่อนไหวเรียกร้องให้...“สภาปฏิวัติแห่งชาติ” หรือ “สภาประชาธิปไตยแห่งชาติ” หรือ“สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ” ได้เข้าปกครองประเทศแทนรัฐสภาและรัฐบาลของคนส่วนน้อยระบอบเผด็จการรัฐสภาที่เสื่อมทรุดอ่อนแอล่มสลายทำลายชาติทำร้ายประชาชนอย่างรุนแรงและเลวร้ายที่สุดตลอดมา81 ปีนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย(DemocraticDual Power)


9. การปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมในขั้นตอนสุดท้ายที่เราประชาชนโดยองค์การนำใหม่ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ที่ขับเคลื่อนองค์การรัฐองค์การพรรค องค์การมวลชน เพื่อปฏิบัติภารกิจให้แล้วเสร็จดังต่อไปนี้...

9.1 แก้ปัญหาความเห็น(Theoretical Problem)ให้แล้วเสร็จ ตามมรรคมีองค์ 8 คือ สร้างความเห็นถูก คิดถูก พูดถูก ทำถูก เลี้ยงชีพถูก สติถูก สมาธิถูก
นั่นคือ...“เห็นว่าระบอบปัจจุบันคือระบอบเผด็จการรัฐสภา...ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา”ตามที่รัฐธรรมนูญได้บิดเบือนไว้ในมาตรา 2 ว่า...“ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย...” และ...“เห็นว่าอำนาจอธิปไตยปัจจุบันคืออำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย...ไม่ใช่อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย”ตามที่บิดเบือนโดยรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ว่า...“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย”

9.2 แก้ปัญหาระบอบ(ProblemofRegime) ให้แล้วเสร็จ คือ.. “เปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตย”...ตามระบบความคิด(System of Thinking) จากจุดยืนเห็นแก่ส่วนรวมหรือจุดยืนประชาชน..มาสู่..วิธีคิดประชาธิปไตย...จาก..ทฤษฎีหรือลัทธิประชาธิปไตย...มาสู่...แนวทางประชาธิปไตย...มาสู่...หลักนโยบายประชาธิปไตย...มาสู่...นโยบายประชาธิปไตย...มาสู่...มาตรการและวิธีการประชาธิปไตย...มาสู่...ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตยและยุทธวิธีประชาธิปไตย...ซึ่งรวมอยู่ในคำเดียวคือ...“สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ”...นำโดยองค์การนำใหม่ฯ

9.3  องค์การนำใหม่ของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...ปฏิบัติปฏิวัติหรือปฏิบัติโมกษธรรม...ดังต่อไปนี้....

- จัดตั้งมวลชนปฏิวัติสันติ...โดยการติดอาวุธทางความคิดด้วยลัทธิประชาธิปไตยลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิเผด็จการ ฯลฯ พร้อมที่จะทำการผลักดันการปฏิวัติสันติให้บรรลุความสำเร็จเช่นการหยุดงานทั่วไป(GeneralStrike)

-จัดตั้งพรรคปฏิวัติทั้งพรรคตามกฎหมายและพรรคตามธรรมชาติ...โดยการติดอาวุธทางความคิดฯและดำเนินงานทางการเมืองและงานทางการจัดตั้งให้แล้วเสร็จ พร้อมที่จะดำเนินการบริหารจัดการการปฏิวัติสันติให้บรรลุความสำเร็จเพื่อกุมอำนาจรัฐ(StatePower) และกุมกลไกแห่งรัฐ(State Machine)ด้วยการขับเคลื่อนองค์การมวลชน องค์การรัฐ และอื่นๆ

- จัดตั้งองค์การรัฐปฏิวัติ...โดยจัดตั้งสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ(สภาปฏิวัติแห่งชาติ)ให้แล้วเสร็จครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ ทั้งด้านนโยบายและด้านผู้แทนเขต-ผู้แทนอาชีพจำนวนประมาณ 5,000 คน  เพื่อโอนอำนาจสู่ปวงชนชาวไทยให้แล้วเสร็จต่อไป...จาก...การโอนอำนาจทางหลักการ(Principle)...มาสู่...อำนาจทางธรรมชาติ(De facto)...มาสู่...อำนาทางกฎหมาย(De Jure) ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย

องค์คณะการนำใหม่ //ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ //สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ //องค์การมวลชนปฏิวัติสันติ //องค์การพรรคปฏิวัติสันติ

-จบ-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น