วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือถวายฎีกาขององค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

                                                                                              เขียนฎีกาที่เลขที่ 465
                                                                                              ซอยสวนพลู 8 ถนนสาทรใต้
                                                                                              แขวงสาทร เขตสาทร
                                                                                              กรุงเทพฯ 10260
                                                                                              โทร.0858552290
                                                                                                  0898860868

ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ในนามปวงชนชาวไทยในรูปของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ที่ยึดถือปฏิบัติแนวทางสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมที่ถูกต้องทรงริเริ่มไว้ดีแล้วในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่  โดยบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 7แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช รัชกาลที่ 9

ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันเป็นไปตามแบบอย่างของคำกราบบังคมทูลของคณะเจ้านายขุนนางเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2428 ถวายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่นำโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ซึ่งกราบบังคมทูลในนามของประชาชนชาวสยามทุกคนดังความตอนหนึ่งว่า..“ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยเกล้าฯว่าเป็นอันตรายจะมาถึงกรุงสยามได้ด้วยเหตุภัยต่างๆแลซึ่งข้าพระพุทธเจ้าถือว่า ถ้ามิได้กราบบังคมทูลพระกรุณาความรู้เห็นแล้วก็เป็นการขาดความกตัญญูและน้ำพระพัฒน์  ทั้งความรักใคร่ในฝ่าละอองธุลีพระบาทและทั้งพระราชอาณาเขต  ซึ่งเป็นของข้าพระพุทธเจ้าชาวสยามทั่วกันหมด”

ความซึ่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลพระกรุณาดังต่อไปนี้ คือ

1.สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ได้สถาปนาขึ้นเมื่อเกือบ 1,000 ปีที่ผ่านมา โดยพระมหากษัตริย์ได้ทรงนำก่อตั้งชาติไทยในยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณเชื่อมต่อกับยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง   พระมหากษัตริย์ได้ทรงนำเอาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งอนัตตาสูงส่งที่สุดในโลกมาเป็นศาสนาประจำชาติ  เป็นองค์คุณเอกภาพของประเทศตลอดมา  ที่สำคัญอย่างยิ่งคือได้ทรงนำเอาหลักธรรมสำหรับผู้ปกครองที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้“ทศพิธราชธรรม 10 ประการ” ขึ้นเป็นหลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั่นคือ...ทานัง  สีลัง  ปริจจาคังอาชชวัง  มันทวัง ตัปปัง  อโกธังอวิหิญสัญจะ  ขันติญจะ อวิโรธนัง ซึ่งเป็นหลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สูงส่งที่สุดในโลก พระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนาทศพิธราชธรรมขึ้นเป็น“หลักการปกครองของประเทศไทย”(Principle of Government)ทศพิธราชธรรมจึงเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศตลอดมา  พระพุทธเจ้าเกิดจากสถาบันพระมหากษัตริย์ศากยวงศ์ในชมภูทวีปเมื่อกว่า 2,500 ปีได้ทรงค้นพบกฎเกณฑ์สูงสุดหรือทรงปฏิวัติความคิดจิตใจอันเป็นการปฏิวัติสูงสุดของโลกความคิดจิตวิญญาณ(SpiritualWorld) ซึ่งเป็นแก่นแท้สูงสุดของมนุษยชาติ(Human Essence) คือ“อนัตตา” ซึ่งเป็นการนำทางจิตวิญญาณอันเป็นการนำอันสูงสุดและนำหลักพุทธธรรมมาสถาปนาเป็นหลักการของการเมืองการปกครองซึ่งเป็นโลกสังคม(Social World)ซึ่งเป็นการนำทางความคิดและการนำทางการเมืองและการนำทางการจัดตั้ง  ทั้งระบบสังคม(Social System) คือการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม อย่างทั่วด้าน และนำโลกธรรมชาติ(Natural World) จึงเกิดสัมพันธภาพแห่งธรรมอย่างทั่วด้านที่เรียกว่า“โมกษธรรมกำหนด”(Dhamma Determinism) ดังนี้...

- จาก..โลกความคิดจิตวิญญาณ...มาสู่...โลกสังคม...มาสู่...โลกธรรมชาติ

-จาก..การนำทางจิตวิญญาณ...มาสู่...การนำทางความคิด...มาสู่...การนำทางการเมือง...มาสู่...การนำทางการจัดตั้ง

- จาก..การเมือง...มาสู่...เศรษฐกิจ...มาสู่...วัฒนธรรม

จึงทำให้เกิด “ธรรมราชา”(Dhamma Raja) ซึ่งเหนือกว่า “ธีรราชา”(PhilosophyKing)ของประเทศตะวันตกดังนั้น จึงทำให้พระมหากษัตริย์ดีงามสูงส่งทั้งด้านสถาบัน(Institution) และด้านบุคคล(Person)  ส่วนด้านประชาชนได้เกิด..“ลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่ง” ที่ดีที่สุดในโลก คือ...

- รักความเป็นไท(Love of Independence) 

- อหิงสา(Non-violence) 

- รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation) 

ซึ่งได้ยกระดับเป็น.. “นโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ” สามารถต่อสู้เอาชนะต่อต่างชาติทุกลัทธิสากลเช่น ลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิปฏิวัติรุนแรงต่างๆ เพราะลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่งของไทยทั้ง 3ลักษณะนี้...ยังเหนือหรือสูงส่งกว่าหลักสากลนิยมของประเทศตะวันตก  สามารถทำการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรม(PeacefulRevolution)ต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรง(Violent Revolution)ได้ทุกลัทธิเช่น ลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิประชาธิปไตย  ลัทธิเผด็จการ อันเป็นการสร้างสันติภาพโลกถาวร(Lasting World Peace)นั่นคือประเทศไทยนำโลกโดยพระมหากษัตริย์และประชาชนในลักษณะ.. “มหาราชแห่งมหาชน”  สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศจะดีกว่าสถานบันอื่นเป็นประมุขของประเทศ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขคือ ทศพิธราชธรรมเป็นประมุขของประเทศนั่นเอง  ธรรมอันเป็นความถูกต้องชอบธรรม(Righteousness)ย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์และความสุขของประชาชนเสมอไป  ดังเช่นพระปฐมบรมราชโองการ...“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”ที่พัฒนามาจากอุดมคติของพระพุทธศาสนาที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย จงจาริกไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน เพื่อความสุขของมหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก”  ฉะนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นผู้ถือดุลประเทศตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งเหนือกว่าสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้ถือดุลการปกครองในขณะที่ศาลเป็นผู้ถือดุลในดุล จึงทำให้ประเทศมีดุลยภาพ(Equilibrium) เพราะผู้ถือดุลที่แท้จริงคือ “สุญญตา” ทศพิธราชธรรมคือสุญญตา หรืออนัตตา นั่นเอง   พระมหากษัตริย์จึงมีอำนาจแห่งบารมีกว้างใหญ่ไพศาลมากที่สุด(CharismaticPower) สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจึงมีอำนาจมากกว่าสถาบันอื่นเป็นประมุขเพราะมีหลักการของสถาบันฯที่สูงส่งดีงามกว่าและมีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองยาวนานกว่าต่อเนื่องมานับเป็นพันๆปี สถาบันอื่นมีอายุสั้นๆและมีหลักการที่ต่ำกว่าทศพิธราชธรรม เช่นสภาบันประธานาธิบดี สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมทางการเมืองและอยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่เหนือการเมือง หรืออยู่นอกการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะเป็นสถาบันที่ใช้อำนาจทางการเมืองในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head ofState) เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์(The Sovereign)และเป็นจอมทัพ(Generalissimo) เช่นเดียวกับประธานาธิบดี  สถาบันใช้อำนาจทางการเมืองย่อมอยู่ในการเมือง  ดังเช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ว่า“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล”  พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน  พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระทำผิด(King can dono wrong)เพราะมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการและทรงทำในฐานะสถาบันไม่ใช่บุคคลเพราะสถาบันย่อมถูกต้องเสมอไป สถาบันไม่ผิด

2.ในยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง(Middle Age)พระมหากษัตริย์ได้ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แบบยุคสมัยกลาง(MedievalOrder)ได้อย่างเยี่ยมยอด ได้ปฏิบัติลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพ(Expansionism)และลัทธิสร้างความเป็นเจ้า(Hegemony) ได้แผ่อำนาจแห่งกฤษฎาธิปไตย(Suzerainty)ออกไปอย่างกว้างขวางในฐานะเจ้าครองนคร(Feudal Lord)ที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ได้ ได้เอาเจ้าครองนครอื่นๆมาเป็นประเทศราช(Suzerainty State)  มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลถึง  994,600 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นเจ้าแห่งเมืองประเทศราช(Suzerain)  พระมหากษัตริย์ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรมสร้างความผาสุกให้แก่อาณาประชาราษฎร และความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติบ้านเมืองทั้งเรืองอำนาจ และเรืองธรรม  ดังที่สะท้อนสภาวการณ์ของกรุงศรีอยุธยาว่า...

“เรืองเรืองไตรรัตน์  พ้นพันแสง
รินรสพระธรรมแสดง  ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง  เสียดยอด
เย็นยิ่งแสงแก้วเก้า  ก่ำฟ้าเฝื่อนจันทร์”

ไทยเป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขายกับฝรั่งต่างชาติในภูมิภาคนี้  มีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งทรงเป็นมหาธรรมราชาและมหาธีรราชเจ้า  จนเป็นที่เลื่องลือขจรไกลไปยังประเทศตะวันตกคือ“สมเด็จพระนารายณ์มหาราช”พระเจ้ากรุงสยามที่ได้ทรงต่อสู้เอาชนะพระเจ้าหลุยส์พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการทรงมีพระปรีชาญาณอันยิ่งยวดเหนือกว่าฝรั่งต่างชาติอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงอย่างแท้จริง

พระมหากษัตริย์ได้ต่อสู้เอาชนะลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพของพม่าข้าศึก   แม้ว่าจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าข้าศึก 2 ครั้ง แต่ก็สามารถต่อสู้เอาชนะการรุกรานของลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพของพม่าข้าศึก  กอบกู้เอากรุงศรีกลับคืนมาได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วด้วยความวีระกล้าหาญอย่างยิ่งยวด  ได้เกิดพระมหากษัตริย์ผู้นำกอบกู้ชาติที่ยิ่งใหญ่คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้นพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงต่อสู้กอบกู้เอาแผ่นดินกลับคืนมาให้อาณาประชาราษฎรพสกนิกรลูกหลานเหลนไทยได้อยู่ได้อาศัยจนกระทั่งถึงในปัจจุบันนี้

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ได้ทรงตั้งกรุงรัตนโกสินทร์สร้างกรุงเทพมหานคร สถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงปกครองตามพระราชอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งว่า...
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
ปกป้องขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
ประเทศไทยจึงมีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคง ประชาชนมีความผาสุกสืบมา

3. ภัยของลัทธิล่าอาณานิคม(Colonialism)ที่เกิดจากระบบทุนนิยมในประเทศตะวันตกควบคู่มากับลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ได้เริ่มรุกรานต่อสยามในรัชกาลที่ 3  ตามที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสไว้ว่า “ภัยข้างพม่าข้าเห็นจะไม่มีอีกต่อแล้วจะมีแต่ภัยจากประเทศตะวันตก” ได้ทรงสร้างกำลังเพื่อป้องกันประเทศตามพระราชดำรัสว่า“ทหารคือกำลังเป็นฐานของอำนาจ” และได้เริ่มต้นด้วยการที่ไทยถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญาบาวน์ริ่งพ.ศ. 2398 เกิดสิทธิสภาพนอกอาเขต(Extraterritoriality)  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ได้ทรงตระเตรียมการขนานใหญ่ในทุกๆด้านเพื่อจะต่อสู้เอาชนะลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก  โดยทรงให้ฝรั่งเข้ามาสอนพระบรมวงศานุวงศ์ เช่นแหม่มแอนนา และทรงแสดงให้ฝรั่งต่างชาติได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันยิ่งยวดทางวิทยาศาสตร์เช่น การคำนวณสุริยุปราคาได้ถูกต้องที่ตำบลหว่ากอทำให้ฝรั่งต่างชาติชื่นชมและยอมรับว่าสยามประเทศไม่ได้ป่าเถื่อน(Barbarian)ล้าหลังแต่อย่างใดทั้งสิ้น  จึงไม่มีเงื่อนไขหรือเหตุผลใดที่จะมายึดเอาไปเป็นเมืองขึ้น  อันเป็นมาตรการหนึ่งในการต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมอย่างแหลมคมชาญฉลาดยิ่ง  จนได้รับการถวายพระราชมัญญานามว่า“พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์”

4. การต่อสู้เอาชนะลัทธิล่าอาณานิคมโดยพระมหากษัตริย์ด้วยการปฏิวัติสันติ
เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2428 คณะเจ้านายและขุนนางนำโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ได้ถวายฎีกาของพระราชทานการปกครองแบบประชาธิปไตยเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยของลัทธิล่าอาณานิคม ดังต่อไปนี้...
“ความซึ่งข้าพระพุทธเจ้า จะได้กราบบังคมทูลพระกรุณาต่อไปนี้ มีอยู่สามข้อเป็นประธาน...

(1) คือ ภัยอันตรายซึ่งจะมีมาถึงกรุงสยามได้ ด้วยความปกครองของกรุงสยามดังเป็นอยู่ในปัตยุบันนี้จะเป็นไปได้ด้วยเหตุต่างๆ ดังเช่นมีตัวอย่างของชาติที่มีอำนาจใหญ่ได้ประพฤติต่อชาติซึ่งหาอำนาจป้องกันมิได้

(2) คือการที่จะรักษาบ้านเมืองให้พ้นภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปกครองของบ้านเมืองอย่างที่มีอยู่ในปัตยุบันนี้  โดยทางอยุติธรรมของศัตรูก็ดี ต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงในทางทะนุบำรุงรักษาบ้านเมืองตามทางญี่ปุ่นที่ได้เดินทางยุโรปมาแล้ว  และซึ่งประเทศทั้งปวงที่มีศิวิไลซ์ นับกันว่าเป็นทางอันเดียวที่จะรักษาบ้านเมืองได้ 

(3) ที่จะจัดการตามข้อสองให้สำเร็จได้จริงนั้น อาจเป็นไปได้อย่างเดียวแต่จะตั้งพระราชหฤทัยว่า สรรพสิ่งทั้งปวงต้องจัดให้เป็นไปโดยจริงอย่างอุกฤษฏ์  ทุกสิ่งทุกประการไม่ว่างเว้น”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับฎีกาประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้แล้ว  จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบว่า... “ที่ 15/47 วันพุธแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ปีระกาสัปตศกศักราช 1247.... ในเบื้องต้น เราขอตอบแก่ท่านทั้งปวงว่า  เราชอบใจอยู่ในการซึ่งพระบรมวงศ์ศานุวงศ์แลข้าราชการของเราได้ไปเห็นการในประเทศอื่น แล้วระลึกถึงประเทศของตน ปรารถนาที่จะป้องกันอันตราย และจะให้ความยั่งยืนมั่นคงอยู่ในอำนาจอันเป็นอิสรภาพ  ในข้อความบรรดาที่ได้กล่าวมาแล้ว  ที่เป็นตัวใจความสำคัญทุกอย่างนั้น  เรายอมรับว่าเป็นการจริงดังนั้น ยกไว้แต่ข้อเล็กน้อยบางข้อซึ่งบางทีจะเป็นการเข้าใจผิดไป  แต่หาควรที่จะยกขึ้นพูดในที่นี้ไม่ แต่เราขอแจ้งความแก่ท่านทั้งปวงให้ทราบพร้อมกันด้วยว่า  ความที่น่ากลัวอันตรายอย่างใด  ซึ่งได้กล่าวมานั้น ไม่เป็นการที่จะแลเห็นได้ขึ้นใหม่ของเราเลย  แต่เป็นการได้คิดเห็นอยู่แล้วทั้งสิ้น แลการที่ควรจะทำนุบำรุงให้เจริญอย่างไรเล่า  เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะจัดการนั้นให้สำเร็จตลอดไปได้ไม่ต้องมีความห่วงระแวงอย่างหนึ่งอย่างใดว่า เราจะเป็นผู้ขัดขวางในการซึ่งจะเสียอำนาจซึ่งเรียกว่าแอบโซลูดเป็นต้นนั้นเลย”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5ได้ทรงนำเอา.. “ลัทธิประชาธิปไตยสากล” มาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยในทุกๆด้านกำหนดขึ้นเป็น..“พระบรมราโชบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินสยาม”(นโยบายสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือ การปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติ หรือ การปฏิวัติสันติ)ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ของไทย และสอดคล้องกับเงื่อนไขทางสังคมของไทยเป็น.. “ประชาธิปไตยแบบไทย”(ThaiDemocracy) ทำการสร้างประชาธิปไตยในขั้นตอนรากฐาน(Basically)อันเป็นขั้นตอนที่  1 ได้สำเร็จ มีผลอันใหญ่หลวงสามารถรักษาเอกราชไว้ได้จากการตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นชัยชนะต่อลัทธิล่าอาณานิคม(Colonialism)อันยิ่งใหญ่ของสยามโดยร.5 จนประเทศนักล่าอาณานิคมใหญ่ของโลก คือ อังกฤษและฝรั่งเศสได้ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อสยามดังได้สะท้อนอยู่ใน.. “สนธิสัญญาลับEntente Cordiale ค.ศ. 1904” ว่า...“ทั้งสองประเทศจะไม่ผนวกเอาดินแดนของสยามไม่ว่าที่ใดๆ”(The twocontracting parties, disclaiming of all idea to annexing of any Siameseterritory)  จึงเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในสงครามล่าอาณานิคมของประเทศไทยซึ่งไม่มีประเทศใดจะมีชัยชนะได้
          

การสร้างประชาธิปไตยโดย ร.5 ในขั้นตอนที่ 1 โดยย่อมีดังต่อไปนี้...

- นำเอาลัทธิประชาธิปไตยสากล มาประยุกต์เป็น.. “พระบรมราโชบายสร้างประชาธิปไตย” ยกเลิกการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

- เปลี่ยนรัฐเจ้าครองนคร(FeudalState)..มาเป็น...รัฐแห่งชาติ(NationState) อันเป็นการก่อตั้งชาติสมัยใหม่ตามลัทธิชาติ(Nationalism)อันเป็นรัฐเอกราช รัฐสมัยใหม่ ถือเป็นมาตรการแรกของการสร้างประชาธิปไตยในทางวิชาการคือ ต้องมีชาติสมัยใหม่(Nation)เสียก่อนจึงจะมีประชาธิปไตยได้(Democracy) ไม่มีชาติก็ไม่มีประชาธิปไตย

-ยกเลิกระบบจตุสดมภ์..เปลี่ยนมาเป็น..การปกครองสมัยใหม่ 3 ระดับ คือ...

oการปกครองส่วนกลาง กระทรวง ทบวง กรม เช่นกระทรวง 12 กระทรวง

oการปกครองส่วนภูมิภาค มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบลหมู่บ้าน

oการปกครองส่วนท้องถิ่น สุขาภิบาล(ท่าฉลอม)

- ยกเลิกระบบศักดินา(Feudalism) เปลี่ยนมาเป็นระบบเสรีนิยม(Liberalism)โดย...

oเลิกระบบเจ้าศักดินา(Feudallordism)เปลี่ยนมาเป็นระบบเจ้าที่ดิน(Landlordism)เพื่อเปลี่ยนระบบเจ้าที่ดินไปเป็นการกระจายทุนสู่ประชาชนด้วยการ“ปฏิรูปที่ดิน”(Landreform)

oเปลี่ยนระบบสิทธิในที่ดิน(อยู่อาศัยทำกิน)...มาเป็น..ระบบกรรมสิทธิ์เอกชน(PrivateOwnership)ให้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน ซื้อขายจำนองหรือเช่าได้

oเลิกทาส...เปลี่ยนทาส(Serf)..เปลี่ยนมาเป็น..เสรีชน(Freeman)เป็นชาวนากรรมกรต่อไป

oเปลี่ยนเจ้าศักดินา(Feudallord)..เปลี่ยนมาเป็น..เจ้าที่ดิน(Landlord)เพื่อพัฒนาเป็นนายทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ต่อไป

oให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของพระเจ้าแผ่นดินแก่ประชาชนโดยให้ประชาชนเข้าหักร้างถางพงได้อย่างเสรีและมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นให้เป็นของประชาชน เช่น สค.1 นส.3 โฉนด เพื่อให้กรรมสิทธิ์ทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานให้เกิดสิทธิ์ของบุคคล(Right ofPerson) และอธิปไตยของปวงชน(Sovereigntyof the people)ทางการเมืองต่อไป

oก่อตั้งรัฐวิสาหกิจ..อันเป็นทำอุตสาหกรรมอันเป็นหัวใจของระบบเสรีนิยมและเป็นรากฐานประชาธิปไตยเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และเป็นหลักนำให้แก่เอกชนและเพื่อส่งเสริมแก่วิสาหกิจเอกชน และเพื่อคานวิสาหกิจเอกชนให้เกิดเสถียรภาพตลาด

oตั้งตุ๊กตาให้แก่รัฐสภาของประชาชนและรัฐบาลของประชาชนคือ “องคมนตรีสภา”(Privy Council) และคณะอภิรัฐมนตรีอันเป็นการปกครองเฉพาะกาลเพื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ประชาธิปไตย  ฯลฯ
          
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ทรงสร้างประชาธิปไตยทางความคิด เช่นชาตินิยมประชาธิปไตย(Democratic Nationalism)  ให้การศึกษาประชาธิปไตยโดยตั้งนครประชาธิปไตยจำลอง..“ดุสิตธานี” สร้างหล่อหลอมจิตสำนึกรักชาติตามลัทธิรักชาติ(Patriotism)การสร้างประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดคือการสร้างประชาธิปไตยทางความคิด  และได้ทรงสรุป.. “องค์คุณเอกภาพของประเทศไทยคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

5.สร้างประชาธิปไตยระดับสูงขั้นตอนสุดท้ายที่ถูกทำลายโดยคณะราษฎร
      

สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.7ได้ทรงนำเอาพระราชภารกิจสร้างประชาธิปไตยของ ร.5 และ ร.6 มาประยุกต์ขึ้นเป็น.. “พระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย” และได้ทรงตั้งสภาประชาชนคือ..“สภากรรมการองคมนตรี” เพื่อทำหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรับโอนอำนาจจากพระมหากษัตริย์ ดังเช่นสภาเชษฐาบุรุษ(สภาไดเอ็ต)ของพระจักรพรรดิมัตสุฮิโต้แห่งราชวงศ์เมจิของญี่ปุ่นที่ทรงสร้างประชาธิปไตยสำเร็จอย่างสันติ  และสมเด็จพระปกเกล้าทรงเตรียมร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล 12มาตราไว้แล้วเพื่อพระราชทานให้ทำหน้าที่รักษาอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย(ระบอบประชาธิปไตย)ไว้ต่อไป และทรงให้การศึกษาประชาธิปไตยแก่ประชาชนโดยการใช้.. “การปกครองท้องถิ่น” คือการออกเสียงลงคะแนนตามระบบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย นั่นคือ พ.ร.บ.เทศบาลพ.ศ....ใหญ่และกว้างขวางทั่วถึงกว่าสุขาภิบาลของ ร.5 แต่ยังไม่ทันได้ทรงทำสำเร็จ...ก็เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475ขึ้นเสียก่อน  แผนการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติอันเป็นวิธีการเดียวที่จะสร้างประชาธิปไตยสำเร็จในประเทศเอกราชเอเซียคือวิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนโดยตรง...ได้สะดุดหยุดลงตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้กว่า81 ปี เราจึงไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้สำเร็จจนกระทั่งบัดนี้
         

 คณะราษฎรซึ่งทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่กำลังสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนที่  2 ขั้นตอนสุดท้าย ต่อจาก ร.5และสร้างระบอบรัฐธรรมนูญหรืออันเป็นระบอบเผด็จการ 2 รูป คือระบอบเผด็จการรัฐประหาร และระบอบเผด็จการรัฐสภา  ดังนั้น จึงทำให้คณะราษฎรเป็นฝ่ายปฏิวัติซ้อน(Counter Revolution)หรือเป็นฝ่ายปฏิวัติผิดที่ทำลายการปฏิวัติถูกหรือเป็นฝ่ายขบวนการเผด็จการที่ล้าหลัง(Backwardness) แต่สมเด็จพระปกเกล้าเป็นฝ่ายปฏิวัติ(Revolution) หรือเป็นฝ่ายขบวนการประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า(Forwardness)  ดังผลงานเขียนที่ยิ่งใหญ่แหลมคมที่สุดในหนังสือ.. “หลักไท” ที่ชื่อว่า..“คณะราษฎรอุปสรรคความสำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย” โดยนายประเสริฐทรัพย์สุนทร จำนวนกว่า 50 ตอน ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้ต่อสู้เอาชนะต่อขบวนการเผด็จการเป็นลำดับมา สะสมชัยชนะมากขึ้นเป็นลำดับ และขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติได้นำเอาแนวทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องที่เริ่มต้นไว้โดยร.5 ร.6 ร.7 มาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน  นำไปต่อสู้ทำสงครามทางความคิดกับขบวนการเผด็จการหรือขบวนการรัฐธรรมนูญมาเป็นเวลาหลายสิบปีอย่างยืนหยัดต่อเนื่องตลอดมา  จึงทำให้ขบวนการประชาธิปไตยมีชัยชนะต่อขบวนการเผด็จการตลอดมานั่นคือ มีชัยชนะทางความคิดโดยพื้นฐานแล้ว และมีชัยชนะทางการเมืองโดยพื้นฐานแล้วและกำลังจะมีชัยชนะทางการจัดตั้งอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ นั่นเอง
6. วิธีการสร้างประชาธิปไตยของประเทศเอกราชเอเชีย 3 ประเทศ จีน ไทย ญี่ปุ่นคือ วิธีที่พระมหากษัตริย์มอบอำนาจให้ประชาชน ไม่ใช่วิธีลุกฮือขึ้นโค่นล้มเช่นประเทศตะวันตก ถ้าพระมหากษัตริย์ถูกขัดขวางไม่ให้มอบอำนาจให้ประชาชน การสร้างประชาธิปไตยในประเทศนั้นก็จะไม่บรรลุความสำเร็จเลยอย่างสิ้นเชิง

ประเทศจีน  พระเจ้ากวางสูถูกลอบปลงพระชนม์โดยซูสีไทยเฮา เพื่อขัดขวางไม่ให้พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชน สร้างประชาธิปไตย จึงถูกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ลงเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ(
Republic)โดยพรรคก๊กมินตั๋งที่นำโดย ดร.ซุนยัดเซ็น และกำลังจะสร้างประชาธิปไตย  แต่ดร.ซุนยัดเซ็น ได้แก่อสัญกรรม แต่ก่อนจะถึงแก่อสัญกรรมได้มอบพินัยกรรมไว้ว่า..“การปฏิวัติยังไม่แล้วเสร็จ สหายทั้งหลายจงพยายามต่อไป” (เก๊อะมิ่ง ช่างเว่ยเฉิงกง ถ่งจื๊อย่งซูหนู่ลิ) แต่ผู้นำพรรคคนต่อมา คือ จอมพลเจียงไคเช็ค ได้ละทิ้งการปฏิวัติ ไม่ปฏิบัติพินัยกรรม กลับไปเป็นเผด็จการอย่างสุดขีด เป็นเงื่อนไขให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน(พคจ)ได้ใช้เป็นเงื่อนไขเข้าทำแนวร่วมและต่อสู้เอาชนะเผด็จการเจียงไคเช็คในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นไปตามหลักยุทธศาสตร์ของยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่คือ..“เผด็จการ..แพ้..คอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์..แพ้..ประชาธิปไตย”

ประเทศญี่ปุ่น ขบวนการประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น  โดยสะมุไลหนุ่มได้เข้าต่อสู้เอาชนะ..“ระบอบโชกุน” ที่ยึดกุมอำนาจจากพระจักรพรรดิจนหมดสิ้น แล้วโชกุนโตกุกาวาคนสุดท้ายได้ยอมเอาอำนาจอธิปไตยถวายคืนแด่พระจักรพรรดิมัตสุฮิโตแห่งราชวงศ์เมจิ  แล้วพระจักรพรรดิจึงทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนชาวญี่ปุ่น  จึงสร้างประชาธิปไตยสำเร็จทำให้ประเทศญี่ปุ่นไม่ตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งต่างชาตินักล่าอาณานิคม  ญี่ปุ่นจึงเจริญรุ่งเรืองก่อนประเทศใดๆในเอเชีย

ประเทศไทยพระมหากษัตริย์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไม่ถูกขัดขวาง ในการสร้างประชาธิปไตยขึ้นตอนแรก  จึงทรงสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนที่ 
1 สำเร็จอย่างงดงามดังกล่าวข้างต้น   แต่กลับถูกคณะราษฎรขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้ายคือพระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนผ่านสภากรรมการองคมนตรี(สภาประชาชน)ตามวิธีการสร้างประชาธิปไตยของประเทศเอกราชเอเชีย  ด้วยการทำการยึดอำนาจทำรัฐประหารรัฐบาลเฉพาะกาลของสมเด็จพระปกเกล้าที่กำลังสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้าย  จึงทำให้การสร้างประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งบัดนี้   โดยเอาความคิดลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการมาสร้างการปกครองของประเทศให้เป็นระบอบเผด็จการ2 รูป ทั้งเผด็จการทหาร และเผด็จการพลเรือน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้ทรุดโทรล้าหลังวิกฤตพินาศหายนะล่มจมและทำร้ายประชาชนให้อดอยากยากจนข้นแค้นแสนสาหัสล้มละลายขายตัวสิ้นชาติสิ้นคน   ขณะนี้เหลือแต่ระบอบเผด็จการรัฐสภา(เผด็จการพลเรือน)โดยพรรคปกครอง(Ruling Party)ของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยได้เปรียบในสังคม ที่เสื่อมสุดโทรม(Decay)สุดขีดเพราะมีอายุเก่าแก่ชราภาพถึง 81 ปี ขัดแย้งความความต้องการระบอบประชาธิปไตยของประเทศชาติและประชาชนที่มีมากว่า100 ปีแล้ว  ทั้งความขัดแย้งด้านโครงสร้างระหว่าง..“เศรษฐกิจเสรีนิยมอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าเป็นพลวัตร(Dynamic)..VS..การเมืองเก่าที่ล้าหลังเป็นอุปสรรค(Static)”  และความขัดแย้งด้านการปกครองระหว่าง..“ประชาชนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย..กับ..ผู้ปกครองที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้”ทำให้เกิดความขัดในขบวนการเผด็จการทวีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงที่สุด  จนไม่อาจจะทำการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อย ผิวเผินที่เป็นการปฏิรูป(Reform)ได้อีกต่อไปแล้ว จะต้องทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางโครงสร้าง เปลี่ยนการปกครอง เปลี่ยนระบอบที่เป็นการปฏิวัติ(Revolution) เท่านั้น จึงจะคลี่คลายความขัดแย้งลงได้อย่างสิ้นเชิง  ซึ่งเกิดเป็นปรากฏการณ์(Phenomenon) 2 ด้านที่ตรงข้ามกัน คือ...

- ด้านหนึ่งเป็นสถานการณ์วิบัติหรืออนาธิปไตย(
Anarchy)พังทลายระบอบเก่าด้านผู้ปกครองในขบวนการเผด็จการถ้าใครยืนอยู่ฝ่ายเผด็จการก็จะพ่ายแพ้พังทลายไป

- ด้านหนึ่งเป็นสถานการณ์ปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลง(
Revolution)ก่อกำเนิดระบอบใหม่ด้านประชาชนในขบวนการประชาธิปไตยถ้าใครยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะมีชัยชนะดำรงอยู่ได้
ดังนั้น โดยสรุป...การยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์โดยคณะราษฎรจึงมีผลเสียหายร้ายแรงอันเกิดจากระบอบเผด็จการ ที่มีระบอบเผด็จการยังอยู่เพราะสร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จเพราะการยึดหรือทำลายอำนาจพระมหากษัตริย์ นั่นเอง



7. การลิดรอน ทำลาย ยึดกุม จำกัดตัด อำนาจพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) องค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign) และจอมทัพไทย(Generalissimo)  ด้วยทฤษฎีผิดที่ว่า..."พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง อยู่นอกการเมืองพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง” ทำให้ประเทศไทยเสียดุลยภาพ(Equilibrium) ทำให้เกิดมิคสัญญีกลียุค ทำเกิดวิกฤตจลาจลนองเลือด ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง  ทำให้นำประเทศชาติออกจากวิกฤติไม่ได้  ทำให้สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ เช่นปัจจุบันนี้  ทำให้ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ถูกทำลาย

ประมุขแห่งรัฐ หรือประมุขของประเทศ(Head of State)ย่อมมีอำนาจของประมุขของประเทศ ไม่ว่าจะพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือประธานาธิบดีเป็นประมุข   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ประมุขที่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องมีอำนาจมากกว่าประธานาธิบดี..เพราะพระมหากษัตริย์มีอายุยืนยาวที่สุดและมีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองตลอดมากยาวนาน และเป็นสถาบันที่ก่อตั้งชาติบ้านเมือง และมีหลักการของสถาบันที่สูงส่งดีงามกว่าเช่นทศพิธราชธรรม...แต่ประธานาธิบดีมีอายุเพียง 4 ปี หรือ 8 ปี เท่านั้น และมีหลักการของสถาบันที่ต่ำกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จึงรับผิดชอบชาติบ้านเมืองได้น้อยกว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์เท่ากับสถาบันพระมหากษัตริย์”

อำนาจประมุขของประเทศ...คือ...

- แต่งตั้งและถอดถอนประมุขทางการปกครอง เช่น ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรีประธานศาลฎีกา ฯลฯ  อย่างปราศจากเงื่อนไข  รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดจะจำกัดตัดอำนาจมิได้

- รักษาความมั่นคงของรัฐ และรักษาความปลอดภัยของประชาชน  โดยการใช้.. “กฎหมายสูงสุด”(Supreme Law) นั่นคือ “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด”  ดังเช่น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้กฎหมายสูงสุดเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องไว้แล้วในอดีต ในการตราพระราชกฤษฎีกาปิดสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ขัดต่อพระราชกฤษฎีกานั้น

- ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย เช่น ตราพระราชกฤษฎีกา ฯลฯ

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)อยู่ในตัวในประเทศเทศที่เป็นราชอาณาจักรหรือมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ดังเช่น คำรับรองของกฎหมายระหว่างประเทศ(International Law) ที่ว่า...
“Inevery monarchy the monarch appears as the representative of the sovereignty ofthe state, and thereby becomes a sovereign himself:  and this fact is recognized by InternationalLaw.  The difference between theMunicipal Law of the various states regarding this point is of noimportance.  Consequently, InternationalLaw recognises all monarchs ad equally sovereign, although the differencesbetween the constitutional position of monarchs may be considerable, if lookupon the light of the rules laid down by the constitutional law of thedifferent states.” (จาก...หนังสือ INTERNATIONAL LAW (A TREATISE) Vol. I. – PEACE byL. OPPENHEIM  EIGHTH EDITION EDITED BY H.LAUTERPACHT, Q.C., LL.D., F.B.A. 1958  )  

แปลว่า... “ในทุกๆ ระบบพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้แทนแห่งอธิปไตยแห่งรัฐ  ฉะนั้น จึงทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ในตัวเอง และข้อเท็จจริงนี้ได้รับการรับรองโดยกฎหมายระหว่างประเทศ  ความแตกต่างระหว่างกฎหมายท้องถิ่นแต่ละรัฐที่เกี่ยวข้องกับจุดนี้ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด  โดยปกติแล้ว กฎหมายระหว่างประเทศ  จะให้การรับรองต่อพระมหากษัตริย์ว่ามีอธิปไตยเท่าเทียมกัน  แม้ว่าจะมีสถานะตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ทางรัฐธรรมนูญอาจจะนำเอามาพิจารณาด้วยก็ตาม  ถ้าเราดูในด้านน้ำหนักของกฎเกณฑ์ของกฎหมายรัฐธรรมที่บัญญัติโดยรัฐที่แตกต่างกัน”

อำนาจขององค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)ของพระมหากษัตริย์ย่อมมีอำนาจในการใช้อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม(Righteousness) เช่น เดียวกันรัฐบาล รัฐสภา และศาล

พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพไทย(Generalissimo) มีอำนาจเหนือกองทัพแห่งชาติ  ดังนั้น เมื่อกองทัพเป็น.. “กลไกเอกแห่งรัฐ”(Principle StateMachine) มีหน้าที่รักษาเอกราช และอธิปไตยและรักษาความมั่นคงแห่งรัฐและรักษาความมั่นคงแห่งชาติ   พระมหากษัตริย์จึงมีอำนาจแห่งกองทัพแห่งชาติในการดำเนินการตามภารกิจและหน้าที่อันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์

พระบารมีอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์(Charismatic Power)เป็นอำนาจพิเศษที่มีอำนาจมากที่สุดทางสังคม และเมื่อมีอำนาจแห่งบารมีเต็มที่แล้วจะมีอำนาจมากกว่าอำนาจรัฐอย่างเป็นไปเอง  เพราะบารมีนั้นเกิดจากทั้งพระเดชและพระคุณที่ขึ้นอยู่กับความรักความศรัทธาเป็นสำคัญ

ระบอบเผด็จการรัฐสภา จะพยายามยึดกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็จขาดเพื่อใช้อำนาจเผด็จการได้อย่างเต็มที่ จึงได้พยายามอย่างสุดกำลังที่จะยึดกุม ลิดรอน จำกัดตัดอำนาจในฐานประมุขในฐานะรัฎฐาธิปัตย์ ในฐานะจอมทัพไทย และอำนาจแห่งบารมีของพระมหากษัตริย์ด้วยการสร้างความเห็นผิด สร้างความคิดผิดว่า “พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองอยู่นอกการเมือง ไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นกลางทางการเมือง” และใช้นโยบายและใช้กฎหมายยึดกุม ลิดรอน จำกัดตัดอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะดังกล่าวนี้ให้มากที่สุด

ขบวนการคอมมิวนิสต์ไทย ก็ได้พยายามอย่างสุดขีดที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกๆ ฐานะไม่ว่าฐานะประมุขแห่งรัฐ หรือองค์รัฎฐาธิปัตย์ หรือจอมทัพไทยหรืออำนาจแห่งบารมี  เพื่อทำลายประเทศไทยให้สูญเสียดุลภาพ  ทำให้รัฐอ่อนแอลง  และล่มสลายพังไปในที่สุดเพื่อที่คอมมิวนิสต์จะได้เข้ายึดประเทศเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ต่อไป เช่นมีการเป็นรัฐไทยใหม่ หรือ สปป.ล้านนา เป็นต้น

ดังนั้น พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State)ก็มีอำนาจของประมุขอยู่เหมือนกับประธานาธิบดี  พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)ก็มีอำนาจขององค์รัฎฐาธิปัตย์เหมือนสากลทั่วโลกอยู่แล้ว  พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพไทย(Generalissimo)ก็มีอำนาจของจอมทัพเช่นเดียวกับประธานาธิบดีทั่วโลกอยู่แล้ว  พระมหากษัตริย์สามารถทรงใช้อำนาจทั้ง 3 นี้ได้อย่างถูกต้องทั้งทางการเมือง ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย(ทั้งกฎหมายแห่งชาติและกฎหมายระหว่างชาติ) และถูกต้องทั้งทางสังคมวัฒนธรรมศีลธรรมอันดี เพราะใช้เพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของประชาชนทุกคนและเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐและความมั่นคงของชาติอยู่แล้ว   โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรา 1มาตรา 2 และมาตรา 3 อันเป็นบทบัญญัติหลักอันเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญที่สูงสุด  ส่วนบทบัญญัติอื่นๆ ที่ขัดหรือแย้งต่อทั้ง 3 มาตราก็เป็นโมฆะ หรือไม่มีผลบังคับใช้ หรือระงับการใช้ได้  โดยอาศัยกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) และกฎหมายหลัก(Principle Law) คือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 1, 2, 3 อันเป็นเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญสูงสุดนั่นเอง

8. การยึดอำนาจ หรือการบั่นทอนลิดรอน จำกัดตัด อำนาจของประมหากษัตริย์ ทั้ง 2 ช่วงประวัติศาสตร์นั้น ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติต่อประชาชนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น...

- การยึดอำนาจพระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 

- การบันทอนลิดรอน การยึด การจำกัดตัดอำนาจ ในฐานะประมุขแห่งรัฐ  ในฐานะองค์รัฎฐาธิปัตย์ ในฐานะจอมทัพไทยในทางการเมืองการปกครอง หลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ดังนั้น เพื่อบรรลุความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและแก้ปัญหาประชาชนทุกคนในประเทศโดยเร็วที่สุดและสันติที่สุดและเป็นการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรมครั้งแรกของโลก จะมีผลให้เกิด“มนุษย์ปฏิวัติ”(Human  Revolution) นำโลกและมนุษยชาติเข้าสู่สันติภาพโลกถาวร

8.1 ให้ผู้ปกครองในระบอบเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหาร...ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกอำนาจที่ไปยึดแย่งมาจากพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่24 มิถุนายน 2475…ถวายคืนอำนาจอธิปไตยแด่พระมหากษัตริย์ เพื่อทรงมอบอำนาจแก่ปวงชนชาวไทยสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ ตามวิธีการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องของประเทศเอกราชเอเชีย3 ประเทศดังกล่าว โดยผู้ปกครองระบอบเผด็จการทั้ง 2 รูป 2 พรรค 2 ขั้ว 2 ม็อบ ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ถวายคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จต่อไป  เท่ากับว่า “ผู้ปกครองทั้ง2 รูป 2 พรรค 2 ขั้ว 2ม็อบ...ได้ร่วมกันสร้างประชาธิปไตยด้วยความยินยอมสมัครใจอย่างมีเกียรติมีศักดิ์น่าชื่นชมยกย่องเป็นอย่างที่สุด  ไม่ถูก่นด่าสาปแช่งว่าเป็น “ทรราชย์”อีกต่อไป  แต่จะได้รับการยกย่องจากประชาชนให้เป็นผู้นำของประชาชนหรือเป็นรัฐบุรุษของประชาชนต่อไป หยุดการดื้อรั้นดึงดันจะรักษาอำนาจไว้ในกำมือของต้นเองด้วยการเลือกตั้งแบบเผด็จการ รัฐประหารแบบเผด็จการ การปฏิรูปแบบปฏิกิริยาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอีกต่อไป  นั่นคือ หยุดต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน  หันมายึดถือปฏิบัติพระราชดำรัส.. “รู้รักสามัคคี”สร้างประชาธิปไตยอย่างสันติอหิงสาพุทธให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดต่อไป

8.2  ถ้าผู้ปกครองของระบอบเผด็จการ 2 รูป 2 ขั้ว 2 พรรค 2 ม็อบ...ไม่ยินยอมยังดื้อรั้นไม่ยอมร่วมกันถวายคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนทุกคนแล้ว....พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) องค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)  จอมทัพไทย(Generalissimo) ศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติหรืออำนาจแห่งบารมี(Charismatic Power)...ทรงตราพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจสู่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตยรักษาความมั่นคงของชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยต่อไป ให้มีองค์คุณเอกภาพใหม่ของประเทศไทย 5 ประการ คือ “ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและเพื่อความเจริญมั่นคงของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนทุกสืบต่อไปชั่วกาลนาน

9. ถ้ามาตรการแก้ปัญหาชาติและประชาชนในข้อ 8ยังไม่อาจจะดำเนินการได้ให้ทันต่อสถานการณ์...จะขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งชาติ...จงผนึกกำลังกายประสานพลังใจกันอันเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว...ร่วมกันลงมือเคลื่อนไหวผลักดันอย่างสันติและถูกกฎหมาย...เพื่อให้ผู้ปกครองในระบอบเผด็จการทั้ง2 รูป 2 ขั้ว 2 พรรค 2 ม็อบ...ได้ปฏิบัติการถวายคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย โดยเร็วที่สุดต่อไป...โดยใช้มาตรการเอกภาพของ 2 ด้าน คือ... “ชุมนุมใหญ่มวลชน...ประสานกับ...การหยุดงานทั่วไป”
เมื่อประชาชนได้ร่วมกันลงมือปฏิบัติมาตรการผลักดันครบทั้ง 2 ดังกล่าวแล้ว...ก็มีพลังอำนาจสูงสุด..สามารถผลักดันได้สำเร็จอย่างแน่นอน   และร่วมกันก่อตั้งสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติและรัฐบาลเฉพาะกาลให้บรรลุความสำเร็จไปพร้อมๆกันตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย(Democratic Dual Power) ตามแบบอย่างขององคมนตรีสภา(Privy Council)ของ ร.5 และสภาดุสิตธานี(Dusitthani Council)ของ ร.6  สภากรรมการองคมนตรีของ ร.7(ProvisionalPeople Council)และสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ(สภาปฏิวัติแห่งชาติ)ที่ศาลสถิตยุติธรรมได้รับรองแล้วไม่ผิดกฎหมายเมื่อพ.ศ. 2537

หมายเหตุ...ส่วนการถวายฏีกาที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่มีความปรารถนาดีและประสงค์ดียิ่งต่อชาติบ้านเมือง...ที่จะเดินทางไปถวายคืนอำนาจของตนเองให้แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังไกลกังวลนั้น...ขอเชิญมาร่วมกันดำเนินการและผลักดันให้บรรลุความสำเร็จตามฏีกาที่ถูกต้องอย่างครบถ้วนรอบด้านทั้ง9 ข้อข้างต้นนี้ให้บรรลุความสำเร็จโดยเร็วที่สุด  แต่การจะเดินทางไปถวายฎีกาที่พระราชวังไกลกังวลนั้น  อาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีและทำร้ายให้เสียหายและบาดเจ็บล้มตายได้ เพราะการถวายฎีกาด้วยการเอาอำนาจอธิปไตยของตนเองไปคืนแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น  แม้จะเป็นเจตนาดีที่สุดและบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง  แต่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วนรอบด้านอย่างแท้จริง  จะถูกโจมตีดังต่อไปนี้...

- เป็นการระคายเคืองและรบกวนเบื้องยุคลบาทถึงพระราชวังไกลกังวล  ไม่บังควร 

- เป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะจะเอาอำนาจของประชาชนไปคืนให้แก่พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นการย้อนกลับจากประชาธิปไตย..ไปสู่..สมบูรณาญาสิทธิราชย์  ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องถูกโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ว่าต้องการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแต่พระองค์เดียว(โดยแท้จริงพระองค์ไม่ต้องการอยู่แล้ว พระองค์ต้องการจะมอบให้ประชาชนอยู่แล้ว)

- จะเข้าทางเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดที่หลอกว่า“ระบอบเผด็จการรัฐสภา..คือ..ระบอบประชาธิปไตย” หรือ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแล้ว...แต่แท้จริงแล้วอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยอยู่”อันเป็นการช่วยรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือช่วยรักษาอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยทุนผูกขาดโดยไม่รู้ตัวหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 

- จะเข้าทางของพวกคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์  ทำแนวร่วมเข้าโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบเผด็จการรูปเก่าแก่ที่สุด  และเมื่อยืนยันว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแล้วเพราะจะเอาอำนาจไปคืนพระมหากษัตริย์ และเท่ากับยืนยันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว....คอมมิวนิสต์ก็จะหลอกประชาชนว่า...”เมื่อเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วแก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ได้...ไปร่วมกันสร้างระบอบคอมมิวนิสต์ดีกว่าจึงจะแก้ปัญหาประชาชนได้”เป็นต้น

- ประชาชนไม่เคยมีอำนาจอธิปไตย...แล้วจะเอาอำนาจที่ไหนไปคืนพระมหากษัตริย์...???

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายกราบบังคมทูลพระกรุณามาทั้งนี้จะผิดชอบประการพระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ  ขอพระบารมีปกเกล้าฯเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณา
มา ณ วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2557

ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

(นายคงฤทธิ์ สีหานาถ)
รักษาการณ์ประธานกรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

(นายสมาน ศรีงาม)
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ

ปล. ได้แนบเอกสารสรุปผลการประชุมขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติครั้งที่ 1 ณ โรงแรมจอมสุรางค์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา วันที่ 1 พฤษภาคม 2557


ไม่มีความคิดเห็น: