วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฎีกาถวายคืนพระราชอำนาจเมื่อปี ๓ มีนาคม ๒๕๔๙ ตอนที่ ๑

ฎีกาถวายคืนพระราชอำนาจเมื่อปี ๓ มีนาคม ๒๕๔๙ ตอนที่ ๑


ที่ พิเศษ/2549
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
ศูนย์ประสานงานชั่วคราว ลานพระบรมรูป ร.6 สวนลุมพินีถนนพระรามสี่ กรุงเทพฯ

ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายปวงชนชาวไทยพสกนิกรผู้จงรักภักดีตลอดมาและตลอดไป ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลถวายฎีกาทรงพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ดังต่อไปนี้


1. ภัยอันตรายซึ่งเกิดแก่ประเทศชาติและประชาชนเกิดจากการปกครอง แบบเผด็จการรัฐสภาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ทำให้เกิดความทรุดโทรมวิกฤตล่มจม หายนะในทุก ๆ ด้านทั้งด้านการเมืองเกิดมิคสัญญีกลียุค ด้านเศรษฐกิจเกิด ความยากจนด้านสังคมวัฒนาธรรมเกิดความวิบัติเสื่อมทรามเน่าเฟะ เกิดการ ขายชาติขายแผ่นดินฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมหาวินาศ จำกัดสิทธิ์ลิดรอนเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนอย่างร้ายแรง ต่างชาติรุกรานยึดครอง ประเทศชาติบ้านเมืองโดยประเทศนักล่าอาณานิคมแบบใหม่


2. การที่จะรักษาชาติบ้านเมืองและประชาชนให้พ้นอันตรายทั้งสิ้นที่เกิดจากการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาในปัจจุบันนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา ให้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่ง ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายทั่วโลกได้ทำการเปลี่ยนแปลงสำเร็จมาแล้ว


3. ที่จะทรงจัดการตามข้อสองให้สำเร็จปรากฏเป็นจริงได้นั้นจะเป็นไปได้ โดยทรงพระราชทานการปกครองเฉพาะกาล รัฐบาลแห่งชาติ ยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย ตามแบบอย่างพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ทรงสืบทอดมาจากรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6


ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแต่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 3แต่ในข้อเท็จจริงอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย ปัจจุบันคือเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวกซึ่งสืบทอดมรดกอำนาจมาจากคณะราษฎรที่แย่งชิงอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่กำลังทรงพระราชทานอำนาจของพระองค์ให้แก่ปวงชนชาวไทย


ดังนั้นข้าพเจ้าขอถวายคืนอำนาจ อธิปไตยที่ข้าพเจ้ามีตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกายุบสภาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งอ้างว่าเป็นการคืนอำนาจประชาชนแต่ข้อเท็จจริงเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชนอย่างเลวร้ายที่สุด เพราะการเลือกตั้งของไทยที่ผ่านมาในอดีตและกำลังจะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายน2549 นั้น เป็นการเลือกตั้งแบบเผด็จการไม่ใช่การเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ทั้งสิ้นมีการจำกัดตัดสิทธิ์เสรีในการเลือกตั้งโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมาย พรรคการเมืองกฎหมายเลือกตั้ง เช่น การบังคับให้สังกัดพรรคสมัครอิสระไม่ได้ต้องจบปริญญาตรีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์สมัคร ส.ส. เป็น รมต.ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประเทศประชาธิปไตยใด ๆ ในโลกบังคับ ส.ส. สังกัดพรรค 90 วันใช้ระบบ หัวคะแนนตัดสิทธิ์ในการเลือกตั้งด้วยการซื้อเสียง โกงการเลือกตั้งใช้อิทธิพล เล่นการพนัน ใช้ระบบราชการโกงการเลือกตั้ง จนอำนาจอธิปไตยไม่ถึงมือของปวงชนชาวไทย ข้าพเจ้าขอปฏิเสธการเลือกตั้งแบบเผด็จการโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อยุบสภาและรัฐบาลของคนส่วนน้อยอำนาจอธิปไตยจึงอยู่ที่พระมหากษัตริย์อย่าง เป็นไปเองหาได้อยู่ที่ประชาชนหรืออยู่ที่คนส่วนน้อยแต่อยู่ที่พระมหากษัตริย์


ดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและในทฤษฎีลัทธิประชาธิปไตยและตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “ข้าพเจ้าสมัครใจสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่บุคคลใด คณะใด” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะ ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” จึงขอทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยพระราชทานการปกครองเฉพาะกาลรัฐบาลแห่งชาติ เพื่อยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา ยกเลิกการเลือกตั้งแบบเผด็จการ สร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยสร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ที่เป็นเลือกตั้งเสรี (Free Vote) ที่แท้จริง แก้ปัญหาชาติและ แก้ปัญหาประชาชนให้บรรลุความสำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด


ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอพระบรมราชานุญาตถือเอาการถวายฎีกานี้เป็นการแสดงความจงรักภักดีเป็นที่ยิ่งต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างเป็นปฏิบัติบูชา อนึ่ง คำถวายฎีกาฉบับนี้ดำเนินตามแบบอย่างของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ที่ถวายฎีกาขอพระราชทานการปกครองแบบ ประชาธิปไตยต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อวันที่9 มกราคม พ.ศ.2428 ที่ทรงพอพระราชหฤทัยและทรงรับรอง

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า ประธานคณะกรรมการบริหารขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติพร้อมด้วยผู้มีรายนามท้ายนี้ ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณามาแต่ ณ วันศุกร์ที่ 3เดือน มีนาคม พุทธศักราช 2549
ตู้ ปณ.36 จรเข้บัว กทม. 10230
โทร. 089-8860868





ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
ศูนย์ประสานงานชั่วคราว๔๓๖ ซ.ประสาทคอร์ต สวนพลู สาทร กรุงเทพฯ
๑๐๒๓๐

                                                                                                                                ๓๑มีนาคม ๒๕๔๙
ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
                

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพสกนิกรที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมาและตลอดไปอีกทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นพระบรมราชานุภาพอันยิ่งใหญ่และพระมหาบารมีแผ่ไพศาลจึงขอพระราชทานบรมราชานุญาตทูลเกล้าฯถวายฎีกาฉบับรูปธรรมรายละเอียดเพิ่มเติมฉบับทั่วไปเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๙เพื่อทรงกรุณามีพระบรมราชวินิจฉัยควรมิควรแล้วแต่ทรงโปรด ดังต่อไปนี้

(๑)ตามที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทูลเกล้าถวายฎีกาขอทรงพระกรุณามีพระบรมราช
วินิจฉัยโปรดเกล้าพระราชทานการปกครองเฉพาะกาลรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลพระราชทาน เพื่อยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย บรรลุความสำเร็จในการแก้ปัญหาของชาติและปัญหาของประชาชนตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๙ นั้น
                
เพื่อแสดงความจงรักภักดีและรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมิให้รบกวนระคายเคืองเบื้องพระยุคคลบาทใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตามที่ได้ทูลเกล้าถวายฎีกาขอพระราชทานการปกครองเฉพาะกาลรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลพระราชทาน เพื่อยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยแก้ปัญหาชาติและปัญหาประชาชนให้สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์บริบูรณ์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระบรมราชวินิจฉัยนโยบายแห่งชาติเพื่อทรงพระราชทานรัฐบาลพระราชทานและนโยบายแห่งชาติพระราชทานเพื่อบรรลุความสำเร็จตามพระบรมราชโองการและตามความต้องการของประเทศชาติและประชาชน 

(๒)  นโยบายแห่งชาติคือ นโยบายที่สืบทอดมาจากพระบรมราโชบายแก้ไขการปกครอง
แผ่นดิน ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงร.๕ และพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ร.๗ที่ประชาชนชาวไทยได้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมมาประยุกต์เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของชาติของกรรมกรไทย๒๖ กันยายน ๒๕๑๘ นโยบาย ๖๖/๒๓ นโยบายของพรรคการเมืองบางพรรคที่อยู่ในแนวทางประชาธิปไตยพระปกเกล้าฯนโยบายแห่งชาติของสภาประชาธิปไตยแห่งชาติเมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจึงมีนโยบายแห่งชาติดังต่อไปนี้

นโยบายแห่งชาติ

นโยบายแห่งชาติซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย๖๖/๒๓ อันเป็นนโยบายประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ดังนี้


๑.สถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จ

ระบอบประชาธิปไตยนอกจากจะเป็นความต้องการของประเทศชาติและ
ประชาชนแล้วยังเป็นปัจจัยอันจำเป็นของการแก้ปัญหาทั้งปวงของชาติอีกด้วยจะต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จจึงจะแก้ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจปัญหาสังคม และปัญหาวัฒนธรรม ให้ตกไปได้จะสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จด้วยมาตรการต่อไปนี้
                                

๑.๑เทิดทูนและพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
                                                
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติไทยและคู่กับชาติไทยมาแต่บรรพกาล แม้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระมหากษัตริย์ไทยก็ประกอบด้วยลักษณะประชาธิปไตยเป็นอันมากอยู่แล้วซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของระบอบพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยจึงเป็นการถูกต้องและจำเป็นอย่างยิ่งที่ระบอบประชาธิปไตยของไทยจะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐซึ่งเป็นอุปการคุณที่สำคัญที่สุดไม่เฉพาะแต่ในการสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จเท่านั้นหากในการแก้ปัญหาพิเศษต่างๆ ซึ่งสถาบันอื่นไม่อาจแก้ปัญหาได้อีกด้วย
                                

๑.๒ ส่งเสริมความรู้ประชาธิปไตย
                                                

การที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จก็ดีการใช้ระบอบประชาธิปไตยแก้ปัญหาต่างๆของชาติก็ดี ขึ้นอยู่กับความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้องความล้มลุกคลุกคลานของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นเพราะขาดความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ฉะนั้นจะต้องส่งเสริมความรู้ประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางทั้งในด้านทฤษฎีและด้านการประยุกต์ทฤษฎีกับสภาวการณ์และลักษณะพิเศษของประเทศไทย
                                

๑.๓ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
                                                

หัวใจของระบอบประชาธิปไตย คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชนนัยหนึ่งคือการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนและของประชาชนแต่ความเป็นจริงอำนาจอธิปไตยยังไม่เป็นของปวงชนอย่างแท้จริงเพราะนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมายังไม่สามารถสนองความต้องการของประเทศชาติประชาชนและรัฐสภาก็ยังไม่ทำหน้าที่ของผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริง ฉะนั้นจึงต้องปรับปรุงนโยบายของรัฐบาลทั้งนโยบายภายในประเทศและนโยบายต่างประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนและปรับปรุงรัฐสภาให้ทำหน้าที่ของปวงชนอย่างแท้จริง
                                

๑.๔ทำให้บุคคลมีเสรีภาพบุคคลบริบูรณ์
                                                

เสรีภาพของบุคคลจะมีได้ก็แต่เฉพาะภายใต้อำนาจอธิปไตยของปวงชนเสรีภาพที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของปวงชนนั้น ไม่ใช่เสรีภาพที่บริบูรณ์ ถ้าไม่เป็นเสรีภาพเกินขอบเขตแบบอนาธิปไตยก็เป็นเสรีภาพที่จำกัดเกินควรแบบเผด็จการและเสรีภาพบริบูรณ์ของบุคคลย่อมก่อให้เกิดความรับผิดชอบแก่บุคคล ฉะนั้นเพื่อให้บังเกิดเสรีภาพชนิดนี้จะต้องทำให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งในขณะเดียวกันจะต้องยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่บั่นทอนเสรีภาพบุคคล
                                

๑.๕สร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้มั่นคง
                                                

เสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยอันเป็นของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและปัจจัยอันสำคัญที่สุดของเสถียรภาพทางการเมือง ก็คือความสนับสนุนของประชาชนและปัจจัยความสนับสนุนของประชาชนก็คือนโยบายที่ถูกต้องและปฏิบัตินโยบายนั้นให้ได้ผลประจักษ์แก่ประชาชน ฉะนั้น นอกจากจะต้องปรับปรุงนโยบายได้ถูกต้องอย่างสมบูรณ์แล้วยังจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยด้วย
                                

๑.๖สร้างระบบพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง
                                                

พรรคการเมืองประชาธิปไตยคือผู้แทนทางการเมืองของประชาชน ทำหน้าที่จรรโลงและพัฒนาระบอบประชาธิปไตยพรรคการเมืองที่เข็มแข็งจะต้องเป็นพรรคที่มีนโยบายสอดคล้องกับนโยบายแห่งชาติที่ถูกต้องจะต้องมีการจัดตั้งองค์กรอย่างเป็นระบบและมีลักษณะเป็นพรรคมวลชนมิใช่เป็นเพียงพรรคสภาหรือพรรคนักการเมืองเท่านั้น ฉะนั้นจะต้องส่งเสริมให้การสร้างพรรคการเมืองชนิดนี้บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งเงื่อนไขประการแรกคือ จะต้องยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อให้ระบบพรรคการเมืองพัฒนาไปตามธรรมชาติ
                                

๑.๗ปรับปรุงระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตย
                                                

ระบอบราชการในประเทศไทยยังเป็นปฏิปักษ์อย่างมากต่อระบอบประชาธิปไตยจึงไม่สามารถสนองความต้องการของระบอบประชาธิปไตยได้ การปรับปรุงพัฒนาระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตยจึงเป็นปัจจัยที่ขาดเสียมิได้ของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย วิธีการปรับปรุง คือประสานระบบข้าราชการเข้ากับระบบพรรคการเมือง โดยให้ข้าราชการเข้าร่วมกิจกรรมของพรรคการเมืองได้อย่างเสรีซึ่งจะยังผลให้ข้าราชการได้มีจิตสำนึกทางการเมืองของตนและจิตสำนึกทางการเมืองนั้นที่จะทำให้ข้าราชการเป็นข้าราชการของประชาชนได้
                                

๑.๘ส่งเสริมกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
                                                

กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆเป็นสิ่งแสดงออกของพลังมวลชน และเป็นพลังผลักดันทางการเมืองในการพัฒนาประชาธิปไตยแต่กลุ่มผลประโยชน์ย่อมมีความขัดแย้งกัน เพราะมีผลประโยชน์แตกต่างกันระบอบประชาธิปไตยย่อมแก้ไขความขัดแย้งด้วยการไม่ทำลายกันแต่ด้วยการประสานประโยชน์ระหว่างกันโดยการทำให้ผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผลประโยชน์ของชาติโดยนายทุน กรรมกร ชาวนา นักศึกษา ฯลฯ จะคำนึงผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวไม่ได้แต่จะต้องคำนึงผลประโยชน์ของฝ่ายอื่นด้วย โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
                                

๑.๙ส่งเสริมสถาบันหนังสือพิมพ์และการแสดงประชามติประชาธิปไตย
                                                

สถาบันหนังสือพิมพ์ในฐานะฐานันดรที่๔ ย่อมเป็นกลไกอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยนอกเหนือจากเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการแสดงประชามติฉะนั้นผู้ทำหนังสือพิมพ์จึงเป็นบุคคลในสถาบันซึ่งจะต้องมีความรับผิดชอบกว่าบุคคลธรรมดาการส่งเสริมเสรีภาพบริบูรณ์ของคนทำหนังสือพิมพ์ จึงแตกต่างจากบุคคลนอกสถาบันจะถือว่า “เสรีภาพของหนังสือพิมพ์คือเสรีภาพของประชาชน” หาได้ไม่
                                                

ประชามติที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนจึงจะเป็นประชามติแบบประชาธิปไตยและความถูกต้องของประชาชนก็ไม่ได้วัดด้วยจำนวนคนที่แสดงแต่วัดด้วยผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมประชามติใดแม้จะแสดงด้วยคนจำนวนน้อยแต่ถ้าสออดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมก็เป็นประชามติแบบประชาธิปไตยฉะนั้น จึงต้องสนับสนุนประชามติที่ถูกต้องแต่จะป้องกันประชามติที่ไม่ถูกต้อง
                                

๑.๑๐สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย
                                                

ขบวนการประชาธิปไตยย่อมประกอบไปด้วยบุคคลกลุ่มต่างๆที่มีความมุ่งหมายเพื่อความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตยแต่เนื่องจากแนวโน้มแห่งวิวัฒนาการของประเทศไทยเป็นแนวโน้มทางประชาธิปไตยทำให้กลุ่มชนที่เป็นปรปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องแอบแฝงโดยยกเอาประชาธิปไตยขึ้นนำหน้าจึงต้องสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริงทั้งสิ้น แต่จะขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยเพื่อแอบแฝงอำพราง
                                

๑.๑๑ทำลายการกดขี่ด้วยอำนาจและอิทธิพล
                                                

การกดขี่ด้วยประการต่างๆด้วยอำนาจและผู้มีอิทธิพลเป็นลักษณะของระบอบเผด็จการตราบใดที่มีการกดขี่โดยผู้มีอำนาจและผู้มรอิทธิพลตราบนั้นยังไม่มีระบอบประชาธิปไตย หรือไม่มีระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ฉะนั้นจึงต้องกำจัดการกดขี่ด้วยอำนาจและอิทธิพลทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นให้หมดไป
                                

๑.๑๒จัดระบบบริหารส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาค และส่วนกลางให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น การกระจายอำนาจเป็นลักษณะหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยวิธีการคือ ทำให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นมีอิสระมากขึ้นและให้องค์การบริหารส่วนภูมิภาคมีฐานะเป็นตัวแทนขององค์การบริหารส่วนกลางอย่างแท้จริงไม่ใช่องค์การบริหารส่วนกลางทำงานแข่งขันซ้ำซ้อนกับองค์การบริหารส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถิ่นแต่ให้องค์การบริหารส่วนต่าง ๆ มีการประสานงานกันเป็นอย่างดี 1.13 สร้างสันติภาพภายในประเทศให้สมบูรณ์และกระชับความสามัคคีแห่งชาติโดยเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองต่างๆเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้จากแนวทางรุนแรงมาเป็นการต่อสู้ในแนวทางสันติตามนโยบายประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นนโยบายรากฐานของความสามัคคีแห่งชาติและเป็นเส้นด้ายทองคำร้อยพวงมาลัยแห่งความสามัคคีระหว่างประชาชนทุกหมู่เหล่าอีกด้วยป้องกันการเคลื่อนไหวม็อบและการรัฐประหารไม่ให้เคลื่อนไหวไปสู่การจลาจลขนานใหญ่หรือมิคสัญญีกลียุคและนำไปสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ด้วยมาตรการยกระดับจากม็อบขึ้นสู่แม๊ส จากบุคคลขึ้นสู่ระบอบจากรัฐธรรมนูญขึ้นสู่ประชาธิปไตยการสังคม