วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือด่วนที่สุด เรื่อง ยุทธศาสตร์ต่อสู้เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฯ ต่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา

หนังสือด่วนที่สุด เรื่อง ยุทธศาสตร์ต่อสู้เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฯ ต่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผบ.ทบ และ ผอ.กอ.รส. ณ กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ เวลา 12.00 น.

สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทย ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ด่วนที่สุด 28 พฤษภาคม 2557 เรื่อง ยุทธศาสตร์ต่อสู้เอาชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฯ
เรียน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ผบ.ทบ. และ ผอ.กอ.รส. ตามที่ กองทัพแห่งชาติที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้รักษาความมั่นคงแห่งชาติ และรักษาความปลอดภัยของประชาชน อันเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) คือ “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด” ตามการปกครองทางสากลอันเป็นกฎหมายแห่งชาติและกฎหมายระหว่างชาติ ได้ประการกฎอัยการศึก(Martial Law) พ.ศ. 2457 ซึ่งเป็นรูปหนึ่งของกฎหมายสูงสุด แล้วได้เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 7 ฝ่ายที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อยอันเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชน ให้มาตกลงเจรจาร่วมกันแก้ปัญหาชาติให้เกิดสงบเรียบร้อยเกิดความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นเวลา 2 วัน แต่ปรากฏว่าไม่สามารถจะร่วมกันแก้ปัญหาชาติและประชาชนให้เกิดความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนอันเป็นกฎหมายสูงสุดได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งขยายความขัดแย้งรุนแรงกันไปเป็นการขนานใหญ่
ในที่สุด เมื่อไม่มีทางออกใดๆจากการพบปะเจรจากันทั้ง 7 ฝ่าย ตามความพยายามอย่างสุดกำลังของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายหมายสูงสุด(Supreme Law)และตามกฎอัยการศึก(Martial Law) และตามนโยบาย 66/23 และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 1, 2, 3, และมาตรา 77 ตามหน้าที่และภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของกองทัพแห่งชาติคือรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนในฐานะกลไกเอกของรัฐ(Principle State Machine) ซึ่งเป็นไปตามพระราชดำรัส ร.3 ว่า.. “กองทัพคือกำลังเป็นฐานของอำนาจ” และอำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน ปืนคือกองทัพ ดังนั้น กองทัพคืออำนาจรัฐ นั่นเอง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้อำนาจการ กอ.สร. จึงได้ยกระการรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนขึ้นสู่ขั้นสูงสุดก่อนสถานการณ์จะไม่อาจจะควบคุมได้สุ่มเสี่ยงต่อความวิบัติหายนะแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน อันเป็นการปฏิบัติการป้องปรามหรือตัดไฟแต่ต้นลมที่เป็นความไม่ประมาทนั่นเอง จึงได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยทั้งสิ้น ที่ถูกระบอบเผด็จการรัฐสภาโดยพรรคการเมืองของคนส่วนน้อยทุนผูกขาดสามานย์ทำให้อำนาจรัฐอ่อนแอสุดขีด และเกิดสภาวะอนาธิปไตยอยู่สุดขีด(Hyper Anarchy) กลายเป็นรัฐล้มเหลว(Failed State) ในฐานะที่กองทัพแห่งชาติเป็นผู้ประกันการดำรงอยู่ของรัฐ(State)หรือประกันความมั่นคงของรัฐ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น. ซึ่งเป็นการเข้ารักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนตามกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)คือ “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยเป็นกฎหมายสูงสุด” และกฎอัยการศึก(Martial Law) และนโยบาย 66/23(State Policy หรือ National Policy) เป็นทางดำเนินการ จึงเป็นการดำเนินการตามวิถีทางกฎหมาย และไม่มีเจตนาที่จะใช้ความรุนแรงแต่อย่างใดทั้งสิ้น จึงไม่ใช่... “การรัฐประหาร”(Coup et’ stat) เพราะการรัฐประหารคือ “การเปลี่ยนรัฐบาลด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย” และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำโดย.. “สถาบันกองทัพแห่งชาติ” ซึ่งประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้บัญชาการสูงสุดของทั้ง 4 เหล่าอันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสูงสุดอย่างสมบูรณ์ของกองทัพแห่งชาติ(National Armed Force) จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ตามกฎหมายและการเมืองและการทหารที่ถูกต้องสมบูรณ์ทุกประการไม่อาจจะโต้เถียงหรือโต้แย้งได้อย่างสิ้นเชิง สถาบัน(Institution)ย่อมทำไม่ผิด ย่อมทำถูกต้องตลอดไป เพราะเป็นสถาบันฯ และทำตามวิถีทางกฎหมาย และไม่กระทำการรุนแรงโค่นล้มฆ่าฟันนองเลือดแต่อย่างใดทั้งสิ้น เมื่อไม่ได้ทำรัฐประหารที่รุนแรงผิดกฎหมาย แต่ทำตามกฎหมาย ทำโดยสถาบันฯ ทำตามนโยบาย 66/23คือต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรง หรือสงครามกลางเมือง หรือมิคสัญญีกลียุค หรือการจลากลนองเลือดของคอมมิวนิสต์ไทย และทำอย่างสันติอหิงสาพุทธทุกประการ จึงไม่ต้องทำนิรโทษกรรมต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะคณะ คสช.ไม่มีความผิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) และองค์รัฏฐาธิปัตย์(The Sovereign) และจอมทัพไทย(Generalissimo)ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และ ผอ.กอ.รส. เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจรักษาความความมั่นแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนตามที่ได้ปฏิบัติมาอย่างถูกต้องแล้วและจะทำต่อไปให้บรรลุความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ดังนั้น การกระทำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผอ.กอ.รส. และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้นถูกต้องทั้งทางกฎหมาย(ทั้งกฎหมายแห่งชาติ และกฎหมายระหว่างชาติ) ถูกต้องทั้งทางการเมือง(รักษาเอกราชและสร้างและรักษาประชาธิปไตยตามแนวทางของ ร.5 ร.6 ร.7 ) ถูกต้องทั้งทางการทหาร(รักษาความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนในฐานะกลไกเอกแห่งรัฐที่เหมือนกันทุกรัฐทุกประเทศทั่วโลก) และนโยบายแห่งชาติหรือนโยบายแห่งรัฐ(National Policy หรือ State Policy)อันเป็นกฎหมายสูงสุดตามกฎหมายแห่งชาติและกฎหมายระหว่างชาติ อันเป็นกิจการภายในของชาติ(Internal Affair) ที่ต่างชาติจะต้องเคารพ ไม่เข้ามาแทรกแซง อันเป็นไปตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 5 หลัก คือ “

1.ไม่รุกราน  

2. ไม่แทรกแซงกิจการภายใน  

3.เคารพในบูรณภาพแห่งอาณาเขต  

4. เสมอภาคถ้อยทีถ้อยอาศัยในผลประโยชน์ร่วมกัน และ

5. อยู่ร่วมกันอย่างสันติของประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน” อันเป็นไปตาม

หลักกฎหมายระหว่างประเทศ และตามกฎบัตรสหประชาชาติ
1.) การต่อต้านของต่างประเทศในเครือของสหรัฐอเมริกา เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในอียู ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นการแทรกกิจการภายในของประเทศไทยอย่างชัดแจ้ง ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(International Relationship Principles) คือ กระทำการแทรกแซงกิจการภายในต่อประเทศไทย เป็นการบิดเบือนและใส่ร้ายกองทัพไทยว่ากระทำการรัฐประหารเข้าเปลี่ยนรัฐบาลด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย แต่โดยแท้จริงแล้วกองทัพไทยได้ปฏิบัติตามวิถีทางกฎหมายทุกประการ ตั้งแต่กฎอัยการศึก และกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) คือ “ความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด” และนโยบายแห่งชาติหรือนโยบายแห่งรัฐ(National Policy หรือ State Policy)ที่ยังใช้อยู่ไม่ได้ประกาศยกเลิกและไม่สามารถยกเลิกได้อย่างสิ้นเชิงเพราะเป็นนโยบายแห่งรัฐ(State Policy)ตามสนธิสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1949และสนธิสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1899 - 1907 การยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บท(Principle Law หรือ Fundamental law) โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้น เป็นการใช้กฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ที่มีศักดิ์มีอำนาจสูงกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีศักดิ์มีอำนาจต่ำกว่าเพราะเป็นเพียงกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บทเท่านั้น กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของรัฐ(State) แต่กฎหมายสูงสุดคือความมั่นคงของรัฐย่อมสูงสุดกว่ารัฐและสูงกว่ากฎหมายของรัฐ และใช้อำนาจอธิปไตย(Sovereign Power)อันเป็นอำนาจรัฐชนิดสูงสุดที่เป็นของกองทัพแห่งชาติได้เข้าควบคุมอย่างสันติและถูกกฎหมายเข้ายกเลิกรัฐธรรมนูญ จึงทำได้อย่างถูกต้องทั้งทางกฎหมายและทางการเมือง
2.) มีบุคคลบางกลุ่ม ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของของกองทัพแห่งชาติ และการรักษาความมั่นคงของชาติและการรักษาความปลอดภัยของประชาชนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังเช่น การเคลื่อนไหวชุมนุมในที่ต่างๆ ในรูปของม็อบ ฯลฯ นั้น ก็เป็นสิทธิของประชาชนในลัทธิประชาธิปไตย และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน และสนธิสัญญาว่าด้วนสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองฯ ที่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นเสรีภาพทางความคิดอันเป็นรากฐานของเสรีภาพทั้งปวง และเป็นสิทธิทางการเมือง แต่เป็นการใช้เสรีภาพทางความคิดและใช้เสรีภาพทางการเมืองที่ผิดพลาด เพราะเกิดจากความเห็นผิด(มิจฉาทิฎฐิ) หรือทฤษฎีผิด ดังนี้คือ...
2.1 เพราะประชาชนบางกลุ่มบางคนมีความเห็นผิดว่าการปกครองระบอบปัจจุบันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้ยกเลิกไปแล้วนี้เป็นการยกเลิกการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยแท้จริงแล้ว “การปกครองระบอบที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ยกเลิกไปนั้นคือการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาต่างหาก”
2.2 ประชาชนบางกลุ่มเข้าใจผิดหรือมีความเห็นผิดว่า... “การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของกองทัพแห่งชาติ...เป็นการรัฐประหาร หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาลประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย” แต่โดยแท้จริงแล้วเป็นการการเข้าควบคุมอำนาจอย่างสันติและถูกฎหมายทุกประการ และเป็นการเปลี่ยนรัฐบาล(Administrative)และระบอบ(Regime)เผด็จการรัฐสภามาเป็นรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 และมาตรา 3 และตามนโยบาย 66/23 และตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)รักษาความมั่นคงของชาติตามมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญ คือ “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้” เพราะมีการเคลื่อนไหวแบ่งแยกราชอาณาจักร เช่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ สปป.ล้านนา และการโค่นเปลี่ยนรูปของประเทศ(Form of Country)จากราชอาณาจักร(Kingdom)ไปเป็นสาธารณรัฐ(Republic) หรือการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
2.3 การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองสูงสุดของประเทศนั้น ต้องการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาที่ถูกทำแนวร่วม(United Front)โดยคอมมิวนิสต์(พคท)ที่ทำลายชาติและทำร้ายประชาชนตลอดมายาวนานกว่า 81 ปี และต้องการจะสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เรียกว่า “ปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรมและสังคมอย่างทั่วด้าน” นั่นเอง หาใช่เพื่อจะสร้างการปกครองระบอบเผด็จการทหาร หรือระบอบเผด็จการรัฐประหารแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ถ้าประชาชนบางกลุ่มที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ดังกล่าวแล้ว ก็จะเลิกการต่อต้านคัดค้าน และหันมาสนับสนุนการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างแน่นอน ซึ่งทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือองค์การหรือกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ทำการอรรถาธิบายความจริงความถูกต้องทั้งหมดทั้งปวงนี้แก่ประชาชนและต่างชาติโดยองค์การหรือกลุ่มที่มีลักษณะประชาชนสูง ดังเช่น ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ หรือคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทย ฯลฯ เป็นต้น ที่ได้ร่วมมือกับกองทัพแห่งชาติมายาวนานตามนโยบาย 66/23 และตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 เพราะประชาชนพูดหรืออธิบายจะมีน้ำหนักมาก เพราะมีลักษณะความเป็นประชาชน ซึ่งก็ประกอบกับคำอธิบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเองด้วย ซึ่งจะครบถ้วนทั้ง 2 ด้าน ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีไม่ได้หรือไม่มีน้ำหนักหรือไม่แหลมคมพอ สรุป....การปราบม็อบหรือการต่อสู้เอาชนะกลุ่มต่อต้าน...ต้องใช้วิธีที่เหนือกว่า และไม่ให้เข้าแผนกับดักหรือยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการจะให้ คสช.ปราบปรามจับกุมคุมขังประชาชนจนกลายเป็นศัตรูของประชาชนอย่างเป็นไปเอง โดย คมช.ใช้ “นโยบาย 3 ไม่คือ ไม่ปราบ ไม่จับ ไม่ประจาน” และนโยบาย 3 รุก คือ... “รุกด้วยความเห็นถูก รุกด้วยการเมืองถูก รุกด้วยมวลชนถูก” อันเป็นการเปลี่ยน... “ม็อบ(ฝูงชนเผด็จการรุนแรง)...ให้เป็น...แม็ส(มวลชนประชาธิปไตยสันติ” นั่นเอง
3.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า จะทำการรุกทางการเมือง(Political Offensive) และกระทำการรุกทางการเมือง(Practicing the Political Offensive) ต่อสู้เพื่อเอาชนะต่อเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ และเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่เข้าทำแนวร่วมกับเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ และม็อบ นปช. และทำแนวร่วมประชาชาติ(International United Front)กับนานาชาติ เช่น เครือประเทศอเมริกาทั้งสิ้น และฝ่ายต่อต้านทั้งสิ้น ให้มีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสิ้นเชิงยั่งยืนยาวนานตลอดไป ดังมาตรการดังต่อไปนี้....
3.1 ใช้ยุทธศาสตร์และนโยบายยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ที่ถูกทำแนวร่วมโดยเผด็จการคอมมิวนิสต์ และ นปช รวมทั้งแนวร่วมประชาชาติทั้งหลาย....คือ... - ยกเลิกรัฐบาลของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาให้สิ้นสุดลง - ยกเลิกรัฐสภาของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาให้สิ้นสุดลง(ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา) - ยกเลิกรัฐธรรมนูญของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาทั้งฉบับ - ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง อันเป็นการยกเลิกพรรคการเมืองเผด็จการทุนผูกขาดทั้งสิ้นที่ขึ้นมากุมรัฐ(กุมอำนาจรัฐและกุมกลไกรัฐ) ที่รักษาการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา - ยกเลิกกฎหมาย พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฉบับปัจจุบัน ให้กลับไปใช้ พรบ.แรงงานปี 2518 ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)เพื่อปลดปล่อยให้กรรมกรรัฐวิสาหกิจเป็นเอกภาพกับกรรมกรเอกชน มีอิสระมีพลังผลักดันช่วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ - ยกเลิกมวลชนเผด็จการทั้งสิ้น เช่น ม็อบต่างๆ เปลี่ยนเป็นมวลชนประชาธิปไตย โดยช่วยเหลือส่งเสริมให้ประชาชนยึดถือลัทธิประชาธิปไตยของ ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 เลิกยึดถือลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการของคณะราษฎรทั้งสิ้นลง เพราะมวลชนเผด็จการเหล่านี้จะช่วยรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภา และขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยตามแนว ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ตลอดมา แล้วสร้างมวลชนประชาธิปไตยตามแนวทางทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 เพื่อทำหน้าที่เป็นผลักดัน(Main Pressured Forces)การสร้างประชาธิปไตย และทำหน้าเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กรักษาภารกิจการสร้างประชาธิปไตยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติไว้ให้บรรลุความสำเร็จดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไป
3.2 ยกระดับจัดตั้งคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(คสช.)ให้เป็นพรรคปกครอง(Ruling Party)ที่กุมอำนาจรัฐและกุมกลไกแห่งรัฐ ของประชาชนคนทั้งประเทศอย่างทั่วถึงและกว้างขวางที่สุดอันมีลักษณะเป็นพรรคประชาธิปไตย(Democracy)เช่นเดียวกับพรรคสหประชาไทยในอดีตของจอมพลถนอม และมีลักษณะเป็นพรรคมวลชน(Mass Party) ด้วยการจัดตั้งหน่อยระดับรากฐานที่มั่นคงแข็งแกร่งรองรับพรรค คชส. คือ... ๐ คสช.แห่งชาติ ๐ คสช.จังหวัด ๐ คสช.อำเภอ ๐ คสช.ตำบล
เพื่อไม่ให้มีข้ออ่อนทำเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามดึงเอาประชาชนขึ้นมาทำลายโค่นล้มคณะรักษาความสงบแห่งชาติ การจัดตั้งเช่นนี้เป็นการยึดกุมประชาชนไว้ได้อย่างหนาแน่นเด็ดขาดเบ็ดเสร็จและยั่งยืนตลอดไป เพราะโดยแท้จริงแล้ว คสช.คือ พรรคปกครอง(Ruling Party) ซึ่งกองทัพแห่งชาติได้สร้างขึ้นมาเพื่อดำเนินการทางการเมืองการปกครอง คือ ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ สร้างระบอบประชาธิปไตย หรือสร้างอำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ...ได้ยกระดับขึ้นเป็น... “นักการเมืองทหาร”.. ไปแล้วอย่างเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่เหมือนก่อนการเข้าควบคุมอำนาจเช่น ตอนเป็น กอ.รส. ตอนนี้เป็น “นักการทหาร” ไม่มีความเป็น “นักการเมืองทหาร” เช่น ปัจจุบันนี้ ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะฯ จะต้องทำหน้าที่และภารกิจทางการเมืองการปกครอง คือ ต่อสู้เอาชนะเผด็จการรัฐสภาทุนผู้ขาดสามานย์และเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่ทำแนวร่วมอยู่ให้ชนะให้จงได้ ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้หรือคู่สงครามใหม่ของกองทัพแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
หมายเหตุ...พรรค คสช. จัดตั้งตามลัทธิรวมศูนย์แบบธรรมะประชาธิปไตยคือ... ๐ ข้างน้อยขึ้นต่อข้างมาก ถือเสียงข้างมากเป็นมติ คำนึ่งถึงข้างน้อยด้วย ๐ องค์กรระดับร่างขึ้นต่อองค์กรระดับบน คสช.ตำบลขึ้นต่อ คสช.อำเภอ คสช.อำเภอขึ้นต่อ คสช.จังหวัด คสช.จังหวัดขึ้นต่อ คสช.แห่งชาติ คสช.แห่งชาติขึ้นต่อคณะกรรมการบริหารกลาง(Central Committee) ๐ บุคคลทั้งสิ้นขึ้นต่อองค์การจัดตั้ง(คสช) สมาชิกทั้งสิ้นขึ้นต่อ คสช. ตามข้อบังคับ ธรรมนูญ ระเบียบวินัย ข้อกำหนด มติ คำสั่ง นโยบาย แนวทางของพรรค คสช. ๐ ทั่วทั้งพรรค คสช.ขึ้นต่อกรรมการบริการกลาง ซึ่งคัดเลือกจากกรรมการพรรค คสช.ทั่วประเทศ ๐ กรรมการบริหารกลางขึ้นต่อสมัชชาที่ประชุมใหญ่ทั่วประเทศของพรรค คสช. ๐ สมัชชาที่ประชุมใหญ่ทั่วประเทศของพรรคขึ้นต่อแนวทางหลักการนโยบายที่ถูกต้องชอบธรรม(Righteousness)หรือธรรมะประชาธิปไตยอันเป็นธรรมาธิปไตย คสช.เป็นพรรคปกครองที่มีผู้ถือดุล มีสถาบันหลัก มีการจัดตั้ง มีความเป็นพรรคมวลชน มีความเป็นพรรคประชาธิปไตยสายกลาง ซึ่งถือองค์คุณของประเทศไทย 5 ประการคือ... “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจพอเพียง”
3.3 จัดตั้งการปกครองเฉพาะกาล(Provisional Government) ซึ่งเป็นการปกครองในระยะเปลี่ยนผ่าน(transition Period)ตามหลักวิชา ซึ่งจะมีส่วนประกอบของการปกครองเฉพาะกาลดังนี้คือ... ๐ สภาประชาชนสามัคคีสร้างประชาธิปไตยแห่งชาติ ซึ่งมีสมาชิกอย่างกว้างขวางทั่วถึงที่สุด ที่มีสมาชิกครบถ้วนทั้ง 2 ประเภท คือ... - ผู้แทนเขตพื้นที่(Constituency) ที่มีผู้เขตจากเขตอำเภอทุกอำเภอๆละ 1 คน ทั่วประเทศ - ผู้แทนอาชีพ(Walk of Life) ที่มีผู้แทนอาชีพจากทุกสาขาอาชีพตามสัดส่วนจำนวนของแต่ละอาชีพ อาชีพใดมีจำนวนมากก็จะมีผู้แทนอาชีพในสภาฯมากตามสัดส่วน ส่วนอาชีพใดมีจำนวนน้อยก็ให้มีผู้แทนอาชีพในสภาน้อยตามสัดส่วนยุติธรรม - ผู้แทนทั่วไป(General) ซึ่งเป็นผู้แทนที่ไม่สามารถสังกัดอยู่ในผู้แทนหลักทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมีสมาชิกสภาฯ ทั้งสิ้นประมาณ 3,000 – 5,000 คน อันเป็นองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย เป็นสภาแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่สร้างประชาธิปไตยและร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งมาจากทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกชนชั้น ทุกอาชีพ ทุกขบวน ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวไว้ว่า... “สภาของสุเทพฯ เป็นสภาเทียม...แต่สภาของท่านเป็นสภาแท้...เพราะมีทุกฝ่าย ทุกสี ทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น ทุกขบวน ฯลฯ จึงจะมีความสามัคคีปรองดองและสามัคคีแห่งชาติและสามัคคีทางการเมือง มีเสถียรภาพ ดำเนินการแก้ไขปัญหาชาติและประชาชนไปได้สำเร็จ ไม่มีใครมาต่อต้านคัดค้าน เพราะทุกฝ่ายมีผู้แทนของตนอยู่ในสภาเฉพาะกาลนี้หมดแล้ว” - จัดตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกาล” ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสนอต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ว่า... “ให้รักษาการณ์รัฐบาลที่เหลือ 24 คน ลาออก...เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้ง รัฐบาลเฉพาะกาล” ซึ่งเป็นรัฐบาลในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงตามหลักวิชาการ นั่นเอง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้... ๐ รัฐบาลเฉพาะกาล...ดังต่อไปนี้... -มีคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ 66 – 99 คน ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายต่างๆที่มีแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 หรือการปฏิวัติสันติ(Peaceful Revolution)
หมายเหตุ...รัฐมนตรีมีมากยิ่งดี เพราะจะได้แบ่งกันทั่วถึงทุกฝ่าย และจะได้ช่วยกันดูแลและควบคุมกำกับให้ข้าราชการทำตามนโยบายอย่างถูกต้องครบถ้วยเคร่งครัดแน่นอนทั่วถึง และแสดงความรู้รักสามัคคีแห่งชาติและความเป็นเอกภาพ(Unity)และความสามัคคีทางการเมือง และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
- มีนโยบายสร้างประชาธิปไตย(Democratic Policy) ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย 66/23 ซึ่งแปลมาเป็น “นโยบายหลักและนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ”(ตามที่แนบมาพร้อมกันนี้...ส่วนจะเพิ่มนโยบายอื่นๆปลีกย่อยให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับยุคสมัยก็ทำได้อย่างเต็มที่ นโยบายเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนที่สำคัญที่สุดอันเป็นหัวใจของการปกครองเฉพาะกาล เพราะจะชี้ขาดความสำเร็จของการต่อสู้เอาชนะเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์และเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่ทำแนวร่วมอยู่ข้างหลังเผด็จการรัฐสภา และมวลชนเผด็จการ นปช. กล่าวอย่างถึงที่สุดคือ... “ด้านหนึ่งคือ..นโยบาย 66/23 ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ของกองทัพแห่งชาติในสถานการณ์สงคราม...อีกด้านหนึ่งของเหรียญคือ..นโยบายสร้างประชาธิปไตยของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติในสถานการณ์สันติภาพ” นั่นเอง มีนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าที คสช. ดำเนินการได้ทันที เช่น
- การยกเลิกการแปรรูป ปตท. และยกเลิกกองทุนน้ำมัน ยกเลิกสัมปทานเก่าที่เสียเปรียบต่างชาติทั้งสิ้นให้ไทยได้ 80% ต่างชาติได้ 20% ลดราคาน้ำมัน ก๊าซ แก็สทั้งสิ้นลง 50% - ยกเลิกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ได้รับกระทบที่ไม่เป็นธรรม - ยกเลิกหนี้สินทั้งสิ้นที่ไม่เป็นธรรมจากระบอบเผด็จการรัฐสภาให้แก่ชาวไร่ชาวนาเกษตรกร และประชาชนคนทั้งประเทศ - ปลดปล่อยนักโทษทั้งสิ้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบอบเผด็จการรัฐสภา - ปฏิรูปที่ดิน(Land Reform) โดยยกเลิกระบบเจ้าที่ดินกระจายกรรมสิทธิ์เอกชนในการถือครองเป็นเจ้าของที่ดินออกไปอย่างกว้างขวางที่สุดตามระบบเสรีนิยม สู่ชาวไร่ชาวนาเกษตรกรคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยการเวณคืนอย่างยุติธรรม แล้วนำเอาเงินที่ได้จากการเวนคืนในรูปพันธบัตรนั้นไปลงทุนในรัฐวิสาหกิจ อันเป็นการกระจายทุนสู่ภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นเอกภาพสัมพันธ์สอดคล้องรองรับซึ่งกันและกัน - นำหุ้นในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไปมอบให้แก่ประชาชนอันเป็นการกระจายทุน และทำให้รัฐวิสาหกิจเป็นของประชาชน และให้ผู้แทนกรรมกรรัฐวิสาหกิจเข้าไปเป็นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหาร(บอร์ด)ประมาณ 50% ของกรรมการบริหารทั้งหมดเพื่อทำให้รัฐวิสาหกิจเป็นประชาธิปไตย - ให้ข้าราชการมีลักษณะประชาธิปไตย คือ ให้ข้าราชการมีสหภาพแรงงานข้าราชการได้ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) จะได้มีความเข้มแข็งมีประสิทธิภาพสูง สามารถปฏิบัตินโยบายของฝ่ายการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างดีประสานสอดคล้องเป็นเอกภาพกัน - ขยายระบบรัฐสวัสดิการขึ้นสู่ระดับสากล คือ เพิ่มเงินสวัสดิการต่างทั้งข้าราชการ และประชาชนให้สอดคล้องกับค่าการครองชีพ โดยเฉพาะประชาชนมีเงินเดือนและเงินบำนาญ ส่วนเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุควรปรับให้สูงขึ้นอีกประมาณ 100 - 200 % - ปลดปล่อยพระสงฆ์ให้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้ง และแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตย สอดคล้องกับพระธรรม พระวินัยของพระพุทธศาสนา - คืนความเป็นธรรมให้แก่ลูกหนี้ทุกคน ที่ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดอันเป็นผลจากระบอบเผด็จการรัฐสภา เช่น การยึดธุรกิจเอกชนมาเป็นของรัฐโดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ
3.4 มีสภาที่ปรึกษาหรือสภานโยบายแห่งชาติ...ที่ประกอบด้วยประชาชนอย่างกว้างขวางที่สุด ซึ่งเป็นองค์การทางการเมืองที่ขึ้นต่อ คสช. โดยเฉพาะ....มีจำนวนสมาชิกจำนวนประมาณ 9,999 คน อันเป็นการฟังเสียงประชาชนที่ใหญ่โตและกว้างขวางทั่วถึงที่สุด อย่างไม่เคยมีมาก่อน แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตย ด้านเสรีภาพทางความคิดและเสรีภาพทางการเมือง - มีรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล(Provisional Constitution) ที่บัญญัติหลักสาระสำคัญของรัฐและการปกครองไว้ด้านหลักการใหญ่ๆ เท่านั้น เช่น รัฐธรรมนูญของจีน หรือรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา มีเพียง 10 – 30 มาตราเท่านั้น.....เพราะรัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อนของรัฐและระบอบการปกครองเท่านั้น แต่เมื่อได้สร้างประชาธิปไตยเสร็จแล้วในทุกๆด้านจนอยู่ตัวคงที่ชัดเจนแน่นอนแล้ว...จึงร่างประชาธิปไตยฉบับถาวร(Permanent Democratic Constitution) สะท้อนภาพ(Reflection) การปกครองแบบประชาธิปไตยในทุกๆด้านไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ต่อไป อนึ่ง ส่วนรายระเอียดอื่นๆ และรายละเอียดเพิ่มเติมจะจัดส่งให้เป็นลำดับไป ตามสถานการณ์และตามความต้องการ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และโปรดกรุณาพิจารณาดำเนินการตามสมควร จะเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่งยวด ซึ่ง ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะเป็นรัฐบุรุษหรือมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยตลอดไป
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง (นายสมาน ศรีงาม) ประธานที่ปรึกษาสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ประธานคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา ประธานกรรมการสภาปฏิวัติแห่งชาติ และเลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ________________________________________________________________ เลขที่ 463 ซอยสวนพลู 8 ถนนสาธรใต้ แขวง/เขตสาทร กรุงเทพฯ 10260 โทร. 0898860868