วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 9 ถึงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

จดหมายเปิดผนึก 
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาต
ฉบับที่ 9/2557
วันที่ 7 กรกฎาคม 2557

เรื่อง กู้เอกราชเอาชนะต่างชาติ สู่ สร้างประชาธิปไตยเอาชนะเผด็จการรัฐสภาโดย คสช.
เรียน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ด้วย การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผู้บริหารระบอบเผด็จการรัฐสภา...โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้บังเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นอย่างเป็นไปเองที่มีลักษณะเป็น... “การปฏิวัติประชาชาติ”(National Revolution) อันเป็นการต่อสู้เอาชนะการแทรกแซงครอบงำโดยอิทธิพลของต่างชาติ จะนำไปสู่เอกราชอธิปไตยของชาติที่สมบูรณ์ ดังภาพสะท้อนด้านภาวะวิสัย(Objective)ที่ต่างชาตินำโดยประเทศสหรัฐอเมริกาที่เริ่มสูญเสียอิทธิพลการแทรกแซงครอบงำประเทศไทยผ่านรัฐบาลของระบอบเผด็จการรัฐสภาที่ถูกโค่นล้มลงไป ได้กระทำการอันเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอย่างทันทีและโจ่งแจ้ง ด้วยการประท้วง คสช.บอยคอตด้วยมาตรการต่างๆ และบีบบังคับให้กลับไปสู่ระบอบเผด็จการรัฐสภาด้วยการจัดการเลือกตั้งแบบเผด็จการเช่นเดิมโดยเร็วที่สุด และด้านอัตตะวิสัย(Subjective)ที่ประชาชนได้เกิดกระแสความคิดชาตินิยมรักและหวงแหนเอกราช(Nationalism)เพื่อต่อสู้เอาชนะการแทรกแซงครอบงำของต่างชาติโดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรงกว้างขวางลึกซึ้งทั่วประเทศ

ได้บังเกิดลักษณะ... “อำนาจอธิปไตยของปวงชน” ขึ้นอย่างเป็นไปเองตามกฎเกณฑ์ของการเปลี่ยนแปลงในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ หลังจากที่ คสช.ได้เข้าควบคุมอำนาจจากรัฐบาลผู้บริหารระบอบเผด็จการรัฐสภา ดังที่นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของโลกได้บันทึกไว้ในหนังสือ Modern History of Europe โดยนาย H.D. Horn ไว้ว่า... “The falling of Bastil mean the end of the old order, and established the sovereignty of the people” แปลว่า “การพังทลายของคุกบาสตีล หมายถึงการสิ้นสุดของระบบเก่า และสถาปนาอำนาจอธิปไตยของปวงชน” อันเป็นการทำลายระบอบเผด็จการรัฐสภาที่เป็นเงื่อนไขให้ต่างชาติแทรกแซงครอบงำประเทศไทยอย่างเป็นไปเอง จึงทำให้ต่างชาติที่เข้าแทรกแซงครอบงำประเทศไทยมายาวนานโดยเฉพาะคือประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งแต่นายปรีดี พนมยงผู้นำของคณะราษฎรและขบวนการเสรีไทยได้นำเอาประเทศไทยไปพึ่ง ไปขึ้นต่อ ไปรับใช้ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ออกมาต่อต้านเป็นการใหญ่ผิดต่อหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผิดต่อหลักการหรือผิดต่อมรรยาททางทูตอย่างร้ายแรงที่สุด ดังเช่น การจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติอเมริกาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ไม่เชิญประเทศไทยโดย คสช.เข้าร่วมงานดังกล่าว แต่กลับเชิญอดีตรัฐบาลผู้บริหารระบอบเผด็จการรัฐสภาเข้าร่วมงาน และแสดงท่วงทำนองท่าทีเย้ยหยันท้าทายปรามาสต่อประเทศไทยและประชาชนคนไทยอย่างเลวร้ายที่สุดไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์

คสช. ถูกความต้องการประชาธิปไตยของชาติและประชาชน หรือกระแสสูงสถานการณ์ปฏิวัติของประเทศไทยเข้าครอบคลุมจนผลักดันให้ คสช.มีลักษณะเอกราชสูง(Sovereignty of the Nation)ที่เรียกว่า.. “การปฏิวัติประชาชาติ”(National Revolution) และมีลักษณะประชาธิปไตยสูง(Sovereignty of the people)ที่เรียกว่า.. “การปฏิวัติประชาธิปไตย”(Democratic Revolution) สูงยิ่งอย่างเป็นไปเองตามกฎเกณฑ์แห่งยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในระบบทุนนิยม ที่เรียกทางรัฐศาสตร์ว่า.. “การปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติ” หรือ “การปฏิวัติประชาธิปไตยแห่งชาติ” ซึ่งสะท้อนอยู่ใน 2 ปรากฏการณ์ คือ...
1. ปรากฏการณ์ต่างชาติที่ล้าหลังแทรกแซงไทยมายาวนานได้ทำการต่อต้านอย่างรุนแรงโจ่งแจ้ง
2. ปรากฏการณ์ต่างชาติที่ก้าวหน้ามีลักษณะปฏิวัติสูงได้ให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ชัดแจ้ง
3. ปรากฏการณ์ประชาชนไทยส่วนใหญ่ที่มีลักษณะก้าวหน้าให้ความสนับสนุนอย่างกว้างขวาง
4. ปรากฏการณ์คนส่วนน้อยฝ่ายที่เคยอยู่ข้างฝ่ายระบอบเผด็จการรัฐสภาไม่อาจจะต่อต้านได้

ต่างชาติที่แทรกแซงครอบงำประเทศไทยมายาวนาน ยิ่งต่อต้านหรือต่อสู้กับ คสช.ยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งจะทำให้ คสช.และประชาชนไทยมีความรักเอกราชและรักประชาธิปไตยมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งจะทำให้ คสช.และประชาชนไทยจะสามารถพัฒนายกระดับขึ้นสู่การต่อสู้เพื่อเอาชนะต่อการแทรกแซงครอบงำของต่างชาติที่ล้าหลังมีลักษณะปฏิวัติต่ำ และต่อสู้เอาชนะต่อระบอบเผด็จการรัฐสภาอย่างมีพลังมีเอกภาพแห่งชาติมากขึ้นเท่านั้น อันเกิดจากกระแสชาตินิยม(Nationalism) กระแสประชาธิปไตย(Democracy) และกระแสความรักชาติ(Patriotism) ต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ และลัทธิเผด็จการรัฐสภา ที่หลอกลวงว่าเป็นประชาธิปไตย

การที่ต่างชาติแทรกแซงครอบงำบีบบังคับให้ประเทศไทยและประชาชนไทย...ยอมรับ.. “การเลือกตั้งแบบเผด็จการ” ของระบอบเผด็จการรัฐสภา มากขึ้นเท่าใด จะทำให้เกิดการต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น ตามกฎเกณฑ์ของฟิสิกซ์ที่ว่า.. “Action = Reaction” คือ คสช.และประชาชนคนไทยจะต่อต้านและต่อสู้เอาชนะ.. “การเลือกตั้งแบบเผด็จการ” และยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาในท้ายที่สุด และสร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย สร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ถ้า คสช.ได้ใช้แนวทางการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง คือ แนวทางสร้างประชาธิปไตยของ ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 โดยประชาชนได้ให้ความสนับสนุนผลักดันช่วยให้ คสช.สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จตามแนวทางที่ถูกต้องดังกล่าว

คสช.ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่...โดยได้ยึดถือ.. “นโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ” ที่ถูกต้องที่ประยุกต์มาจาก.. “ลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่ง” 3 ประการ คือ 1) รักความเป็นไท(Love of Independence) 2) อหิงสา(Non-violence) 3) รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation) โดยยุติหรือยกเลิกการแทรกแซงกิจการภายในต่อประเทศไทยของต่างชาติทั้งสิ้น แล้วปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างเป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยหลักการตามกฎเกณฑ์ของวิชารัฐศาสตร์ที่ถูกต้องที่ใช้กันทั่วโลกมี 3 มาตรการ คือ...
(1) ตัดมือต่างชาติที่เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทยมายาวนานตั้งแต่ในอดีต
(2) ยกเลิกอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยอันอ่อนแอที่ทำให้อธิปไตยของชาติอ่อนแอเป็นเงื่อนไขให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงอย่างเป็นไปเอง
(3) สร้างอำนาจอธิปไตยของปวงชนที่เข้มแข็ง ที่จะทำให้อธิปไตยของชาติเข้มแข็ง เป็นเหตุให้ต่างชาติไม่สามารถแผ่อิทธิพลแทรกแซงครอบงำได้
ดังนั้น คสช. จึงถูกผลักดันให้ต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชให้สมบูรณ์ ด้วยการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือ ทำให้อธิปไตยของชาติที่เข้มแข็ง โดยทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งดำเนินการบนพื้นฐานที่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่าง.. “ด้านชาติ”(National)..กับ..”ด้านสากล”(International) คือ... “ถือด้านชาติเป็นด้านหลัก..ถือด้านสากลเป็นด้านประกอบ” ตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ โดยสรุปคือ... “ไม่ว่าสหประชาชาติหรือชาติใดๆก็ไม่สามารถจะเข้าแทรกแซงกิจการภายในของไทยได้เลยแม้แต่น้อย” ดังเช่น นโยบาย 66/23 ที่ได้แก้ปัญหาทั้งในระดับชาติ และระดับสากลได้สำเร็จแล้วในขั้นตอนที่1 เหลือเพียงขั้นตอนที่ 2 ที่ คสช.กำลังจะดำเนินอยู่ในขณะนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับถ้ายึดถือและปฏิบัติแนวทางที่ถูกต้องก็จะบรรลุความสำเร็จอย่างแน่นอน

อนึ่ง คสช.และการปกครองเฉพาะกาลทั้งสิ้น...เข้าทำการยกเลิกข้อตกลงและสนธิสัญญารุกรานของนักล่าอาณานิคมที่เหลืออยู่ทั้งสิ้น คือ ข้อตกลงวอชิงตัน ค.ศ. 1946 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 – 1907 และใช้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 อันเป็นสัญญากู้ชาติแทน

ปรากฏการณ์ของการตีกลับร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ยกร่างโดยนายวิษณุ เครืองาม โดย คสช.นั้น เป็นความก้าวหน้าของ คสช.เป็นอย่างยิ่ง เพราะ คสช.ได้ปฏิเสธการเข้าครอบงำและทำลายของลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการที่จะบังคับให้ คสช.รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ ขัดขวางการสร้างประชาธิปไตย ดังเช่น การครอบงำทำลาย รสช.และ คมช.ให้พังไปในอดีต ที่ต้องการร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวในการปกครองเฉพาะกาล(Provisional Government)ของลัทธิประชาธิปไตยที่เป็นทางไปสู่ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตย ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดความก้าวหน้าตัด.. “วงจรอุบาทว์ของลัทธิรัฐธรรมนูญ” เพื่อไปสู่.. “วงโคจรของลัทธิประชาธิปไตย” อันเป็นการยกระดับจาก... “รัฐธรรมนูญชั่วคราวของลัทธิเผด็จการ”...ขึ้นสู่... “รัฐธรรมนูญชั่วคราวของลัทธิประชาธิปไตย” หรือ จาก.. “รัฐธรรมชั่วคราวรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภา”...ขึ้นสู่... “รัฐธรรมนูญชั่วคราวยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตย”
กล่าวโดยสรุป ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวของลัทธิเผด็จการ...ไปขัดแย้งทำลาย...นโยบายของ คสช.ที่ก้าวหน้าสร้างสรรค์ประชาธิปไตย จึงเกิดปรากฏการณ์ คสช.ตีกลับร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยดังกล่าว อันเป็นการให้ความสำคัญต่อ..”นโยบาย” ที่เป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้ และปฏิเสธรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภา

การปราบปรามอิทธิพลอำนาจมืดมาเฟียที่กดขี่ข่มเหงย่ำยีบีฑาประชาชนทั้งหลายนั้น เป็นทำลายรากฐานของระบอบเผด็จการรัฐสภาทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหัวคะแนนของพรรคปกครอง(Ruling Party)ของระบอบเผด็จการรัฐสภาทั้งสิ้น เมื่อ คสช.ยกเลิกรากฐานของระบอบเผด็จการรัฐสภาแล้ว...ก็สามารถยกระดับขึ้นสู่...การยกเลิกพรรคเผด็จการรัฐสภาทั้งสิ้นที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้...ด้วยมาตรการ.. “ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองเผด็จการ ยกเลิกกฎหมายเลือกตั้งเผด็จการ” และ “ยกเลิกระบบหัวคะแนนที่เป็นอาชญากรรมทางการเมืองทั้งสิ้น” รวมทั้งยกเลิกม็อบเผด็จการที่เป็นพลังผลักดันรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาก่อสภาวะอนาธิปไตยอีกด้วย เหล่านี้เป็นมาตรการหนึ่งของการสร้างประชาธิปไตย นั่นเอง

คสช.จะต้องมีอำนาจมากที่สุดในฐานะ.. “รัฎฐาธิปัตย์”(The Sovereign) เหนือกว่ารัฐบาล เหนือกว่ารัฐสภา เหนือกว่ากองทัพแห่งชาติ เหนือกว่ากลไกรรัฐหรือระบบข้าราชการและองค์กรบริหารทั้งสิ้น และเหนือกว่าองค์การอิสระทั้งปวง ตามกฎเกณฑ์และอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะปกครองผู้กุมรัฐ(กุมกลไกรัฐและกุมอำนาจแห่งรัฐ)ในฐานะพรรคปกครองสูงสุดซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนเพื่อสร้างอำนาจและผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนคนทั้งประเทศ ตามหลัก.. “การปกครองทางผู้แทน”(Representative Government) โดย คสช.เพื่อทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งสิ้น สร้างประชาธิปไตยครบถ้วนตามหลักการปกครอง(Principle of Government) 5 หลักตามลำดับ คือ...
(1) สร้างอำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people)
(2) สร้างเสรีภาพของบุคคลบริบูรณ์(Freedom of person)
(3) สร้างความเสมอภาค(Equality)
(4) สร้างกฎหมายให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม(Rule of law)
(5) สร้างการปกครองจากการเลือกตั้ง(Elected Government)
และใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนไปสร้างประชาธิปไตยอย่างทั่วด้านทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม ฯลฯ จึงร่างรัฐธรรมนูญมาสะท้อนภาพความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยอย่างทั่วด้านไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้มีรัฐธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริงฉบับแรกของประเทศไทย และจัดให้มีการปกครองจากการเลือกตั้งตามหลัก.. “ประชาธิปไตยทางผู้แทน”(Representative Democracy) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง...ก็จะได้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยที่แท้จริงขึ้นมาใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนในองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย คือ รัฐสภา รัฐบาล ตามครรลองระบอบประชาธิปไตย และวิถีทางรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่แท้จริงต่อไป เมื่อมีรัฐบาลและรัฐสภาประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว... คสช.และการปกครองเฉพาะกาลทั้งสิ้น เช่น รัฐบาลเฉพาะกาล รัฐสภาเฉพาะกาล ก็ยุบเลิกไปเพราะภารกิจสร้างประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่านได้รับการปฏิบัติให้บรรลุความสำเร็จเสร็จสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการจะเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่ง

ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างยิ่ง

(นายคงฤทธิ์ สีหานาถ)
รักษาการณ์ประธานกรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

(นายสมาน ศรีงาม)
ที่ปรึกษาสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาต
ประธานคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูร

(นายพัศไสว แก้วน้ำ)
รักษาการณ์เลขาธิการกรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ