วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 5/2557 เรื่อง ความจริงของสถานการณ์ประเทศไทย..คือ..เงื่อนไขแห่งชัยชนะ

จดหมายเปิดผนึก
ฉบับที่ 5/2557
ถึงคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
"เรื่อง ความจริงของสถานการณ์ประเทศไทย..คือ..เงื่อนไขแห่งชัยชนะ"

เมื่อ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.) โดยกองทัพแห่งชาติ ที่นำโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้มีเจตนาดีอย่างยิ่งต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนคนไทยทุกคน โดยได้ถูกสถานการณ์บังคับผลักดันให้...ต้องเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศอย่างสันติและถูกกฎหมาย...เพื่อยุติสถานการณ์อนาธิปไตยสุดขีด มิคสัญญีกลุยุค ระบอบของรัฐล้มเหลว(Failed Regime) และที่สุ่มเสี่ยงจะนำสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ที่คอมมิวนิสต์ได้เข้าทำแนวร่วมกับระบอบเผด็จการรัฐสภา ทั้งพรรคปกครอง ทั้งรัฐบาล ทั้งรัฐสภา ทั้งนักการเมือง ทั้งม็อบต่างๆ และทำแนวร่วมประชาชาติกับต่างชาติปิดล้อมประเทศไทย เพื่อยึดประเทศไทยในที่สุด อันเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุดต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอภัยของประชาชน อันเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ตามหลักนิติธรรม

สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...ตระหนักเห็นความจำเป็นอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลยอย่างสิ้นเชิง ที่จะต้องช่วยสนับสนุนส่งเสริมผลักดัน...ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจอันยิ่งใหญ่สูงส่งดังกล่าวข้างต้นโดยสวัสดีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อันเป็นแก้ปัญหาของชาติและแก้ปัญหาของประชาชนทุกคนให้สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์บริบูรณ์ นั่นเอง...ความจริงของสถานการณ์ของประเทศไทยคือเงื่อนไขที่จำเป็นที่สุดที่จะนำปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนได้จริง ดังนั้น จึงขอช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ คสช. ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาดังกล่าวตั้งแต่แรก...โดยนำเสนอ.."ความจริงของสถานการณ์ประเทศไทย"...ดังต่อไปนี้...

ในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Modern History) มีลัทธิการการเมืองใหญ่ๆ อยู่ 3 ลัทธิ คือ...
1. ลัทธิเผด็จการ
2. ลัทธิประชาธิปไตย
3. ลัทธิคอมมิวนิสต์

ตามระบบความคิด(System) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า..."อุดมการ"(Ideology)ซึ่งประกอบด้วย...2 ด้านคือ...
ด้านจุดยืน(Stand point)หรือตัวความคิด และด้านวิธีคิด(Way of Thinking)

จุดยืนมี 2 จุดยืนหรือตัวความคิด คือ...
- จุดยืนเห็นแก่ตัว
- จุดยืนเห็นแก่ส่วนรวม

เขาจุดยืนไปมองสังคมก็จะเกิดเป็นวิธีคิด คือ...
1. ความเห็นหรือทฤษฎี(Theory)
2. แนวทาง(Line)
3. หลักนโยบาย(Program or Platform)
4. นโยบาย(Policy)
5. มาตรการและวิธีการ(Measure & Mean)
6. ยุทธศาสตร์ และยุทธิวธี(Strategy & Tactic)

จึงเรียกว่ามี 3 แนวทางเพื่อให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันกับโลก คือมี 3 ลัทธิ หรือมี 3 แนวทาง นั่นเอง คือ...
1. แนวทางเผด็จการ
2. แนวทางประชาธิปไตย
3. แนวทางคอมมิวนิสต์

ประเทศไทยจึงมี 3 แนวทาง(ขบวนการ)ที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอยู่ดังกล่าวข้างต้น

แนวทางเผด็จการ...คือแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญในทางความคิดของบุคคล(Thinking if person)...และแปรไปเป็นระบอบการปกครอง(Regime of Government)ของประเทศคือ..."ระบอบรัฐธรรมนูญ" หรือ "ระบอบเผด็จการ" ซึ่งมี 2 รูป คือ...
1. ระบอบเผด็จการรัฐประหาร(เผด็จการทหาร)
2. ระบอบเผด็จการรัฐสภา(เผด็จการพลเรือน)

ในประเทศไทย คณะ ร.ศ. 130 หรือกบฎเหล็ง หรือ เหรียญ ศรีจันทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 และต่อมา คือ คณะราษฎร พ.ศ. 2475 และเผด็จการทั้ง 2 รูปก็สืบทอดแนวทางเผด็จการ แนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ หรือแนวทางคณะราษฎร...มาตลอดจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา 81 ปี เข้ากุมอำนาจรัฐและกุมกลไกแห่งรัฐโดยคณะรัฐประหาร และคณะพรรคเผด็จการ ตลอดมา...จนถึงคณะ คสช. ซึ่งเป็นระบอบเผด็จการรัฐประหาร(ตราบใดที่ยังไม่ยกระดับการเมืองแนวทางคณะราษฎร..ขึ้นเป็น..แนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23

คำถามที่ว่า..."จักรภพลี้ภัย..กับ..ฉลาดอดข้าว" เป็นแนวทางเดียวกันหรือไม่...คำตอบคือ..."ใช่...ทั้งคุณจักรภพลี้ภัย..กับ..คุณฉลาดอดข้าว...เป็นแนวทางเดียวกัน..คือ..แนวทางเผด็จการ..แนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ..แนวทางคณะราษฎร"

แนวทางประชาธิปไตย...เริ่่มจาก ร.5 ได้ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตย(Democracy)จากยุโรปที่เขาเริ่มใช้ก่อนใครในโลกนี้และได้สรุปขึ้นเป็น..ทฤษฎี..และ..ยกระดับขึ้นเป็น.."ลัทธิ"(Doctrine) คือ ลัทธิประชาธิปไตย ที่มี 3 ทฤษฎีคือ...
1. ทฤษฎีทางปรัชญา
2. ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์
3. ทฤษฎีทางเศรษฐกิจ

ซึ่งมีรูปธรรมคือ...
- เอกภาพของความแตกต่าง(Unity of Diversity) กระจายความคิด
- อำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people) กระจายอำนาจ
- กรรมสิทธิเอกชน(Private Ownership) กระจายทุน

ร.5 ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตยทั้ง 3 ทฤษฎีนี้...มาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยอย่างสอดคล้องเหมาะสมเป็น..."พระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างสันติ" หรือ การปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรม(Peaceful Revolution) และได้ทรงปฏิบัติรพบรมราโชบายฯ จนประสบความสำเร็จในขั้นตอนที่ 1 มีผลอันใหญ่หลวงทำให้รักษาเอกราชของชาติไว้ได้ และมีชัยชนะต่อลัทธิล่าอาณานิคม นำพาชาติขึ้นยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ทันสมัย(Modernization) และ ร.6 ร.7 ทรงสืบทอดแนวทางประชาธิปไตยของ ร.5 มาจนถึงการสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้ายโดย ร.7 คือ ตั้งการปกครองเฉพาะกาล เช่น สภากรรมการองค์มนตรี และร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล 12 มาตรา..เตรียมจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 วันฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี วันเปิดสะพานพุทธ..แต่ถูกบุคคลบางวงการทักท้วงให้ทรงพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบและถูกต้องสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยพระราชทานให้แก่ประชาชนต่อไป...ร.7 จึงทรงชะลอการโอนอำนาจให้ประชาชนและพระราชทานรัฐธรรมออกไป และต่อมาได้การรัฐประหาร 24 มิถุนายน 2475 ขึ้น...พระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์จึงสะดุดหยุดลงตั้งแต่บัดนี้นมาจนถึงบัดนี้...และเป็นเหตุให้ประเทสไทยสร้างประชาธิปไตยไม่แล้วเสร็จจนถึงบัดนี้...เพราะทำผิดกฎเกณฑ์การสร้างประชาธิปไตยของประเทศเอกราชเอเชีย 3 ประเทศ(จีน ไทย ญี่ปุ่น) คือ...พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนโดยตรง ไม่ใช่การโค่นอำนาจพระมหากษัตริย์แบบยุโรป

ขบวนการประชาธิปไตย...ได้ถูกสืบทอดโดยนายประเสรฐ ทรัพย์สุนทร...ได้ประยุกต์แนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์...กับสถานการณ์แต่ละยุคแต่ละสมัย...แล้วเสนอให้ผู้ปกครองและประชาชนได้นำเอาไปยึดถือปฏิบัติ เช่น

- เสนอให้จอมพล ป. และอาจารย์ปรีดี ตั้งรัฐบาลแห่งชาติสร้างประชาธิปไตย นายประเสริฐเป็นผู้ประสานระหว่างทำเนียบมหาชัย(จอมพล ป.) กับ ทำเนียบท่าช้าง(อาจารย์ปรีดี)

- ได้ดึงเอาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ(พคท.)เข้ามาร่วมการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติตามแนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ โดยได้เซ็นสัญญากัน และร่วมกัน

- แต่พรรคคอมมิวนิสต์ฯ ไม่ยึดถือสัญญา กลับละทิ้งแนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ ไปยึดถือแนวทางรุนแรงของลัทธิเหมา...จึงเกิดการต่อสู้กับภายในพรรคอย่างรุนแรงระหว่าง..."พรรค..กับ..นายประเสริฐ" สุดท้ายพรรคส่งนายประเสริฐไปแก้ไขความคิดที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน(พคจ.) ที่วังโจหนานไห่สถาบันมาร์กซ์เลนิน...และได้ต่อสู้กันจนถึงที่สุด...คอมมิวนิสต์ไม่ยอมรับการปฏิวัติสันติของพระมหากษัตริย์ไทยที่สืบทอดโดยนายประเสริฐ...แต่ยึดถือแนวทางปฏิวัติรุนแรงของลัทธิเหมา ตามคำขวัญว่า.."ดัดแปลงโลกด้วยสงคราม ปฏิวัติรุนแรง อำนาจรัฐจากปากกระบอกปืน" นายประเสรฐ จึงกลับมาต่อสู้ในประเทศไทย...และได้เซ็นสัญญาลับกับ..."นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร..กับ..จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ รัฐไทย"...ร่วมกันต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ด้วยการปฏิวัติสันติ...นายประเสริฐเป็นข้าราชการที่ทำงานด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ ที่เป็นราชการลับตั้งแต่บัดนี้มา...มีหน้าที่ให้การศึกษาและให้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแก่ผู้ปกครองไทยให้ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์รุนแรง..โดยการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7

- ได้เสนอให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ไม่ใช่ความรุนแรงอย่างถึงที่สุดในการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ และใช้วิธีสันติต่อสู้เอาชนะ และได้เริ่มสร้างประชาธิปไตยคือ...

1. สร้างประชาธิปไตยทางด้านเศรษฐกิจ...คือ...ตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2503 - 2504 เป็นต้นมา
2. สร้างประชาธิปไตยทางด้านการเมือง..คือ..ตั้งสภาพัฒนาการเมือง...(แต่ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จ...จอมพลสฤษดิ์ก็ถึงแก่อสัญกรรมลงเสียก่อน เมื่อ พศ. 2506)

- ให้แนวทางประชาธิปไตยแก่รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เช่น การก่อตั้งพรรคสหประชาไทยอันเป็นพรรคประชาธิปไตย ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ตามคำขวัญว่า..."ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ ต้องสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ"..และ..."สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ...จะมีชัยชนะต่อคอมมิวนิสต์" และต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์อินโดจีน ด้วยกาปฏิเสธทฤษฎีโดมิโน(Domino Theory)ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นทฤษฎีแพ้...ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 110/2512 อันเป็นนโยบายเป็นกลางทางการเมืองในสงครามระหว่างประเทศ...ไม่ส่งทหารเข้าไปรบในเวียตนาม ลาว เขมร ตามที่ประธานาธิบดีจอร์นสันได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยดำเนินการ...ไทยถือนโยบายเป็นกลางทางการเมืองในสงครามกลางเมืองระหว่างประเทศตามสนธิสัญญากรงเฮก ค.ศ. 1890 - l907 และทำให้ไทยมีชัยชนะต่อคอมมิวนิสต์อินโดจีน ต่อมาเวียตนามได้ส่งกำลังเข้ามาในลาวและเขมรเพื่อช่วยยึดประเทศให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ในลาวแลเขมร และกำลังจะบุกยึดประเทศไทย...นายประเสริฐ ได้เสนอให้ไทยส่งทหารเข้าไปพบเติ้งเสี่ยวผิงที่ปักกิง ประเทศจีน...แจ้งให้ร้ว่า.."เวียตนามกำลังจะทำสงครามรุกรานบุกยึดประเทศไทย...ผิดต่อหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์กับประเทศทุนนิยม และผิดต่อหลักสากลนิยมชนกรรมาชีพ(Proletarian Internationalism) โดยทางไทยได้ส่งทหารไปพบเติ้งเสี้ยวผิงที่ปักกิ่งคือ...
1. พลตรีพัฒน์ อรรคนิบุตร
2. พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ ฯลฯ
เมื่อทางฝ่ายได้แจ้งแก่เติ้งเสี้ยวผิงแล้ว เติ้งเสี้ยวผิงจึงได้สั่งให้กองทัพจีน ส่งทหารจำนวนมาก..ทำสงครามที่เรียกว่า.."สงครามสั่งสอน" แก่เวียตนาม โดยบุกไปทางเหนือของเวียตนาม...ทำให้เวียตนามต้องถอนทหารจากเขมร-ลาว..ออกไปช่วยรบกับกองทัพจีนด้านเหนือของประเทศ...จึงทำให้เวียตนามไม่อาจจะบุกประเทศไทยยึดเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ได้จนกระทั่งบัดนี้

- จอมพลถนอม ทำผิดพลาดด้านการสร้างประชาธิปไตย...ด้วยการทำรัฐประหารตนเอง..ยกเลิกพรรคสหประชาไทยที่ทำการสร้างประชาธิปไตย เพราะฝ่ายต่อต้านได้เล่นงานจอมพลถนอมว่า..."จะให้คนๆเดียวเป็นรัฐได้อย่างไร...???" ซึ่งหมายถึงอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร นั่นเอง...และนายประเสริฐ ไม่ได้เข้าไปต่อสู้ภายในพรรคสหประชาไทย จึงไม่อาจจะต่อสู้รักษาพรรคฯไว้ได้ เพราะไม่มีใครอธิบายสู้ในพรรคฯ และในที่สุดจึงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จอมพลถนาม ประภาษ และนรงค์...จึงหนีออกนอกประเทศ...โดยไม่ทำหน้าที่รักษาการณ์รัฐบาล(ตามหน้าที่)...จึงเกิดสภาวะอนาธิปไตยอยู่ 2 วัน คือ ไม่มีรัฐบาล ไม่มีการปกครอง นั่นเอง

- ได้มีพระบรมราชโองการให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐซึ่งมีความรู้จักมักคุ้นกับนายสัญญา ธรรมศักดิ์อยู่นานแล้ว ในฐานะเป็นเลขารัฐมนตรีของคณะราษฎร กระทรวงศึกษาธิการ และอาจารย์ประเสริฐเป็นครูโรงเรียนสวนกุหลาบที่จอมพล ป.เรียกตัวไปใช้ทางการเมือง และเป็นสหธรรมิกร่วมกันก่อตั้งสวนโมกษ์กับท่านพุทธทาสภิกขุ ไชยา สุราษฎร์ธานี...นายประเสริฐจึงได้เสนอให้นายสัญญาสร้างประชาธิปไตย โดยอธิบายให้รู้จักากรสร้างประชาธิปไตย และให้รู้จักว่ารัฐบาลของนายสัญญาคือ "รัฐบาลเฉพะกาล" ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการณ์ หรือรัฐบาลขัดตาทัพแต่อย่างใดทั้งสิ้น รัฐบาลเฉพาะกาลมีหน้าที่สร้างประชาธิปไตย ไม่ใช่สร้างรัฐธรรมนูญแล้วออกไป แต่นายสัญญาไม่เข้าใจเพียงพอ...จึงสร้างประชาธิปไตยไม่ได้ พังไปในที่สุด

- นายประเสริฐ ได้นำเอาแนวทางประชาธิปไตย...ไปลงสู่ขบวนการกรรมกรไทย...โดย 2 มาตรกา คือ...

1. ตั้งพรรคแรงงาน(Labour Party) และพรรคแรงงานประชาธิปไตย
2. จัดประชุมที่สวนลุมพินี ให้ผู้ันำกรรมกรทั่วประเทศมาประชุมกัน...แล้วก่อตั้ง..."แนวทางแก้ไขปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทย" เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 และได้เกิดแนวทางการเมืองของกรรมกรไทยในทางประชาธิปไตยตั้งแต่บัดนั้นมา

- ต่อมารัฐบาลพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ ได้รับเอาแนวทางประชาธิปไตยจากนายประเสริฐ ฝ่ายทางทหารประชาธิปไตย ซึ่งเอาแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของกรรมกรไทย 26 กันยายน 2518 มาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์สงครามกลางเมือง เป็น..."นโยบาย 66/2523" อันลือลั่น ให้กองทัพแห่งชาติใช้ปฏิบัติต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ทั้ง 2 ขั้นตอนคือ...
*ขั้นตอนที่ 1 ต่อสู้เอาชนะสงคราม...ด้วยการสร้างประชาธิปไตยระดับต่ำ
*ขั้นตอนที่ 2 ต่อสู้เอาชนะพรรคและแนวร่วมคอมมิวนิสต์ ด้วยการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหารทั้งสิ้น

กองทัพแห่งชาติ...ได้ปฏิบัตินโยบาย 66/23 ได้เพียงขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น มีผลยุติสงครามกลางเมือง(Civil War)ลงได้อย่างงดงาม นำประเทศชาติจากสถานการณ์สงคราม(War Situation)...มาเป็น...สถานการณ์สันติภาพ(Peaceful Situation) นำพลพรรคคอมมิวนิสต์กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย(ผรท)เพื่อเป็นพลังผลักดันการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติให้แล้วเสร็จ

แต่กองทัพแห่งชาติและรัฐบาลพลเอกเปรม ก็ไม่สามารถปฏิบัติขั้นตอนที่ 2 ได้่เสร็จ...จึงทำให้คอมมิวนิสต์ก็ยังอยู่...คือ พรรค กับแนวร่วม ไม่มีเพียงกองทัพปลดแอกฯ และระบอบเผด็จการทั้ง 2 รูปยังอยู่ เมื่อรัฐบาลพลเอกเปรมกับกองทัพแห่งชาติปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 ไม่แล้วเสร็จ จึงเกิด 3 ปรากฏการณ์ คือ...

1. พลเอกเปรม ลาออกไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป คือ ไม่ปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 ให้แล้วเสร็จได้

2. พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง รักษาการณ์ ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. ออกมาตั้งพรรคความหวังใหม่เพื่อปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่ 2 ให้แล้วเสร็จ เพราะอยู่ในกองทัพฯไม่อาจจะปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่ 2 ได้อีกต่อไป
- ประชาชนโดยการชี้นำของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้นำเอาแนวทางประชาธิปไตย ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 สร้างประชาธิปไตยระดับสูง...ตั้ง.."สภาปฏิวัติแห่งชาติ" ขึ้น...เพื่อทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย(Sovereignty of the people) เมื่อ พ.ศ. 2530 และได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง..."โอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ" เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2532 และได้แต่งตั้งมอบหมายให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานสภาปฏิวัติแห่งชาติ นำร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ ขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่..เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ถ้าทรงเห็นด้วยก็ทรงลงพระปรมาภิไธย ถ้าไม่ทรงเห็นด้วยก็หมดปัญหากันไป...แต่พลเอกเปรมเดินทางไปต่างประเทศโดยฉับพลันทันที...กรรมการสภาปฏิวัติแห่งชาติที่นำเอาร่างพระราชกฤษฎีกาไปให้พลเอกเปรมที่บ้านสี่เสาร์ฯ ก็ไม่พบพลเอกเปรม จึงฝากร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ไว้กับ ท.ส. ของพลเอกเปรม...แต่มาวันเดียวกัน...ตำรวจสันติบาลโดยรัฐบาลพลเอกชาติชาย..ได้เข้าจับกุมกรรมการสภาปฏิวัติแห่งชาติจำนวน 14 คน โดยมีนายประเสริฐ เป็นจำเลยที่ด้วย และได้ต่อสู้กันมาเป็นเวลา 5 ปี ศาลยุติธรรมได้พิพากษาให้ยกฟ้องสภาปฏิวัติแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2537 สภาปฏิวัติแห่งชาติจึงมีชัยชนะต่อเผด็จการรัฐสภาในศาลยุติธรรม ตั้งแต่บัดนั้นมา
ต่อมาอีก 4-6 เดือน นายประเสริฐ ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2537 ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ณ บ้านซอยตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เวลา 18.00 น.

ก่อนหน้านั้นหลังจากที่สภาปฏิวัติแห่งชาติถูกจับกุมเมื่อ พ.ศ. 2532 ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติโดยนายสมาน ศรีงาม...ได้ทำการเคลื่อนไหวนักศึกษารามคำแหง...นำนักศึกษาออกมาต่อสู้ผลักดันให้รัฐบาลชาติชายลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการโอนอำนาจให้ประชาชนตามที่สภาปฏิวัติแห่งชาติได้เสนอไว้...โดยได้ชุมนุมใหญ่ ณ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในนาม..."ศูนย์เฉพาะกิจนิสิตนักศึกษาแห่งชาติ...และสภานักศึกษาแห่งชาติ"...ได้ออกมาชุมนุมใหญ่ ณ ท้องสนามหลวงเป็นเวลา 2 เดือนเรียกร้องผลักดันให้โอนอำนาจให้แก่ประชาชน...โดยให้กรรมกรหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้บรรลุความสำเร็จของภารกิจการโอนอำนาจให้แก่ประชาชน...แต่กรรมกรรัฐวิสาหกิจไม่อาจจะทำการหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตยได้...จึงทำให้นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมอยู่ท้องสนามหลวงถูกจับกุมจำนวนเกือบ 20 คน นายสมาน ศรีงามถูกจับกุมด้วย และต่อมาได้ประกันตัวออกมาต่อสู้กันอีกครั้งหนึ่ง ในนาม.."องค์การนักศึกษาสร้างประชาธิปไตย" ได้ชุมนุมกันที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และทำเนียบรัฐบาล...และเผาตัว..โดยนายธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ นักศึกษารามคำแหง..เสียชีวิตในเวลาต่อ...รัฐบาลเสนอศาลถอนประกันนายประเสริฐ นายสมาน ฯลฯ...และนายเสริฐ นายสมาน ถูกจับกุมในข้อหาทำลายความมั่นคงของรัฐ ม.116 และได้ต่อสู้กันถึง 3 ศาล ศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องจำเลยทั้ง 8 (นายเสริฐ เสียชีวิตคาคดีความ)

- ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...ได้ทำความเคลื่อนไหวตลอดมา...เช่น

1. ปฏิบัติงานทางทฤษฎี ติดอาวุธทางปัญหาให้แก่ผู้กปครองและปรชาชน ด้วยลัทธิประชาธิปไตย

2. ผลักดันให้ก่อตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล สภาประชาชนฯ รัฐบาลแห่งชาติ สภาประชาธิปไตย สภาปรองดอง สภารู้รักสามัคคี ฯลฯ เพื่อโอนอำนาจให้เป็นของประชาชนตามแบบอย่างสภากรรมการองคมนตรี ร.7 ตามสภาปฏิวัติแห่งชาติ นโบาย 66/23
โดยผลักดันให้...

A. ให้เผด็จการรัฐสภาคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย ตามแบบอย่างสภากรรมการองคมนตรี ร.7 หรือสภาปฏิวัติแห่งชาติที่ชนะคดีต่อเผด็จการรัฐสภามาแล้ว

B. เคลื่อนไหวผลักดันให้กองทัพแห่งชาติสร้างประชาธิปไตย ตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ต่อสู้เอาชนะเผด็จการทุกชนิด ทั้งเผด็จการรัฐสภา และเผด็ํจการคอมมิวนิสต์

C. ถวายฎีกาขอพระราชทานการปกครองเฉพาะกาล คือ สภาเฉพาะกาล รัฐบาลเฉพาะกาล สร้างประชาธิปไตย โดยทรงใช้กฎหมายสูงสุด(Supreme Law) ในฐานประมุขแห่งรัฐ องค์รัฎฐาธิปัตย์ และจอมทัพไทย ตามแบบอย่างสมเด็จพระปกเกล้า ร.7 และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476
C. ผลักดันให้ทุกรัฐบาลจากทุกพรรคการเมืองให้ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตย ตั้งสภาประชาชนฯ โอนอำนาจให้ประชาชน
- ปัจจุบัน..คือ..สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ที่ได้ทำความเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ คือ...

1. ช่วยสนับสนุนส่งเสริมผลักดัน คสช.และกองทัพแห่งชาติอย่างปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น..ให้สามารถสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จโดย คสช.เองตามนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับสูง ตามยุทธศาสตร์.."สถาบันกองทัพแห่งชาติสร้างประชาธิปไตย" สามารถต่อสู้เอาชนะเผด็จการทุกชนิด..ทั้งเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการคอมมิวนิสต์..และเผด็จการต่างชาติที่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย และรุกรานยึดครองประเทศไทยในด้านต่างๆมายาวนาน
เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความปลอดภัยของประชาชน ตามองค์คุณเอกภาพใหม่ของประเทศไทย 5 สถาบัน คือ... "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐประชาธิปไตย เศรษกิจใหม่พอเพียง"

2. สร้างสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ...เคลื่อนไหวอย่างสันติอหิงสาพุทธทั้งทางความคิด ทางการเมือง และทางการจัดตั้งตามแนวทางประชาธิปไตย ร.5 ร.6 ร.7 ร.9 และนโยบาย 66/23...ให้เติบใหญ่เข้มแข็งโดยร่วมมือกับ คสช. กองทัพแห่งชาติ และประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าทุกอาชีพทุกชนชั้นทุกฝ่ายคนทไทยทุกคน...จนสามารถโอนอำนาจมาสู่ประชาชนได้สำเร็จอย่างสันติอหิงสาพุทธโดยสวัสดี อันเป็นการปฏิวัติสันติประเทสไทยและโลก(The Greatest Peaceful Revolution) ที่เป็นมนุษยปฏิวัติ(Human Revolution) ครั้งแรกของโลก...ทำให้เกิดสันติภาพโลกถาวร...นั่นคือ...ประเทศไทยนำโลกสร้างสันติภาพโลกถาวร(Lasting World Peace)ก้าวเข้าสู่โลกหลังยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นั่นเอง

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง...องค์การนำใหม่สภาประปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 12 มิถุนายน 2557
โทร. 0898860868 (นายสมาน ศรีงาม)