"ลงมือผลักดันการสร้างประชาธิปไตยตามาตรการผลักดันของกรรมกรที่ทรงพลังและสันติถูกกฎหมาย ตามวิถีทางรัฐธรรมนูญดังเช่น คำรายงานของสมัชชากรรมกรแห่งชาติคือการหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตย(General Strike) อันเป็นหยุดงานทางการเมือง(Political Strike) ซึ่งเป็นการปฏิบัติกฎหมายสูงสุด (SupremeLaw) คือรักษาความมั่นคงแห่งชาติทั้งสถาบันชาติ สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตรริย์ โดยการสร้างประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อเอาชนะขบวนการ ล้มปืนล้มทุน ล้มเจ้า หรืออาเพศ 10 ประการตามแบบอย่างการสร้างประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอันเป็นการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือขยายเสรีภาพของบุคคล ขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชนบรรลุการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันเป็นการกระจายอำนาจ และนำสู่การสร้างประชาธิปไตยทางเศรฐกิจคือ การกระจายทุน และการสร้างประชาธิปไตยทางวัฒนธรรม คือการกระจายธรรมบรรลุสังคมประชาธิปไตยที่เป็นสังคมในอุดมคติของคนไทยทุกคน และที่สำคัญที่สุดแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าคือความขัดแย้งของลัทธิรัฐธรรมนูญระหว่างรัฐบาล กับ กปปส.ที่กำลังจะรุนแรงนองเลือดให้ยุติลงในทันทีที่กรรมกรลงมือปฏิบัติภารกิจการผลักดันการสร้างประชาธิปไตย"
วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีได้รับการสถาปนาให้เป็น “วันกรรมกรสากล” หรือวันเมเดย์ (May Day)อันเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะของการต่อสู้ของมวลพี่น้องกรรมกรสากลในอดีต คือชัยชนะที่ได้มาชึ่ง “ระบอบประชาธิปไตย” และ ชัยชนะที่ได้มาซึ่ง “ระบบ 3 แปด”กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดคือ กรรมกรต่อสู้มีชัยชนะได้อำนาจอธิปไตยของปวงชน (Sovereigntyof the People) และกรรมกรต่อสู้มีชัยชนะได้สิทธิประชาธิปไตยด้านแรงงานในระบบ3 แปด ทำงาน 8 ชั่วโมง ศึกษา 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมงอันเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครึกโครมที่สุดในยุคประวัติศาสตรสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่แบ่งยุคแบ่งสมัยจากยุคสมัยเก่าสู่ยุคสมัยใหม่นั่นเอง
เศรษฐกิจเสรีนิยมที่นายทุนและกรรมกร เป็นคู่แห่งเอกภาพผู้ดำเนินการระบบเศรษฐกิจทุนนิยม (Capitalism)ซึ่งเรียกว่า “ระบบเสรีนิยม” (Liberalism) เรียกด้านตลาดเสรีว่า“ระบบเศรษฐกิจการตลาด” (Market Economy)หัวใจของระบบทุนนิยมคือ “อุตสาหกรรมสมัยใหม่” ทางเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยสมัยใหม่คือ “ระบอบประชาธิปไตย” ทางการเมืองซึ่งเพิ่งมีเมื่อ 300 ปีมานี้ระบบทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจผลิตเป็นสินค้า(Commodity)อันเป็นการผลิตจำนวนมากต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ(Mass Production)ที่นำพามวลมนุษยชาติขึ้นสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ศิวิไลซ์ก้าวหน้าแม้บางลัทธิจะโจมตีว่าระบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีการขูดรีดแต่การขูดรีดก็ทำให้เกิดการพัฒนา เป็นสองด้านของเหรียญ “ด้านหนึ่งเป็นการขูดรีดอีกด้านหนึ่งเป็นการพัฒนา” อันเป็นไปตามสัจจธรรมที่ว่า“สิ่งหนึ่งมีสองด้านที่ตรงข้ามกัน” ดังเช่น เอกภพหรือจักรวาฬ (Universal) ซึ่งประกอบด้วย 2 ด้าน คือ เอกภาพ (Unity)และความขัดแย้ง (Versus)แต่การขูดรีดที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของปวงชนหรือระบอบประชาธิปไตยคอยควบคุมไว้ก็จะลดระดับการขูดรีดลงจนถึงขั้นไม่เป็นการเบียดเบียนต่อปวงชนแต่เป็นการพัฒนาให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงชนการขูดรีดภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นการ “ขูดรีดที่เป็นธรรมเจริญก้าวหน้าพัฒนา”ไม่ต้องล้มล้างระบบทุนนิยมก็แก้ปัญหาการขูดรีดนำไปสู่ความเจริญวิวัฒน์พัฒนาได้แต่ประเทศคอมมิวนิสต์ที่โค่นระบบทุนนิยมทิ้งใช้ระบบสังคมนิยมล้วน ๆ แทน กลับล้าหลังไม่พัฒนาล่มสลายไปในที่สุด เช่นสหภาพโซเวียต แต่ประเทศที่ใช้ระบบทุนนิยมกลับพัฒนาเจริญก้าวหน้า เช่นประเทศจีนดังเช่นคุณธรรมของคนจะมีหรือไม่มี มีมากหรือมีน้อย ขึ้นอยู่กับจุดยืน (Standpoint) 2 ด้านหรือ 2 จุดยืน ว่าด้านใดจะมากกว่าหรือน้อยกว่าคือจุดยืนเห็นแก่ส่วนตัว กับเห็นแก่ส่วนรวม ถ้าเห็นแก่ส่วนตัวมากก็มีคุณธรรมน้อยถ้าเห็นแก่ส่วนตัวน้อยก็มีคุณธรรมมาก จึงเป็น “เอกภาพที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน” หรือ“ความขัดแย้งภายใต้เอกภาพ” ซึ่งตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า “ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน”คือ ประโยชน์ตนมากคุณธรรมน้อย ประโยชน์ตนน้อยคุณธรรมมาก
กรรมกรคือผู้ใช้แรงงาน ซึ่งหมายถึงทั้งแรงงานทางกายและแรงงานทางสมองแต่กรรมกรไม่ใช่ผู้ใช้แรงงานทั่วไปหรือไม่ใช่ผู้ใช้แรงงานทั้งหมดแต่กรรมกรนั้นหมายความถึงเฉพาะผู้ใช้แรงงานรับจ้างในระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่เช่นผู้ใช้แรงงานอิสระ หรือชาวนาที่ทำนาของตัวเองไม่ใช่กรรมกร อุตสาหกรรมสมัยใหม่คือการผลิตที่ใช้พลังงานเครื่องจักรไม่ใช้แรงงานคน หรือแรงงานจากสัตว์ หรือพลังงานจากธรรมชาติดั้งเดิมแต่ใช้เทคโนโลยีในการผลิต(เทคโนโลยีคือการใช้วิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับการผลิต)และเป็นการผลิตแบบจำนวนมากอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง(Mass Production) กรรมกรจึงเป็นผู้ปฏิบัติอยู่กับวิทยาศาสตร์และเทศโนโลยีหรือสรรพวิทยาการที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์มนุษยชาติโดยเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม คือ “พลังการผลิต” ซึ่งเป็นส่วนที่ก้าวหน้าคู่กับ“ส่วนความสัมพันธ์การผลิต” ผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต คือ นายทุน นั่นคือพลังการผลิตโดยกรรมกรจะผลักดันส่วนความสัมพันธ์การผลิตโดยนายทุนให้ก้าวหน้าพัฒนาไปไม่หยุดยั้งทั้งทางด้านเศรษฐกิจการเมือง และวัฒนธรรม สู่สังคมประชาธิปไตยอันเป็นอุดมคติ
อุตสาหกรรมสมัยใหม่คือรากฐานของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และผู้สร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมคือนายทุนกับกรรมกรร่วมกันแต่ทำหน้าที่ต่างกัน กล่าวคือ นายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตกรรมกรเป็นพลังการผลิต นั่นคือ ฝ่ายหนึ่งเป็นทุน (Capital) อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแรงงาน (Labour) ทุนกับแรงงานบวกกันก่อให้เกิดระบบทุนนิยมถ้าขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ฉะนั้นนายทุนกับกรรมกรจึงเป็นลูกฝาแฝดที่แยกกันไม่ออกในการสร้างเศรษฐกิจทุนนิยมซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่ครอบงำในโลกปัจจุบันนี้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดนักปราญช์ผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “นายทุน กับ กรรมกร” คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ดังนั้น คำว่านายทุนและกรรมกรจึงเป็นคำที่มีเกียรติคู่กัน ผู้ใช้แรงงานเป็นคำธรรมดา เพราะหมายถึงผู้ใช้แรงงานทั่วไปและใคร ๆ ก็เป็นผู้ใช้แรงงานได้ แต่กรรมกรเป็นผู้ใช้แรงงานที่เป็นองค์ประกอบที่ขาดมิได้ในการสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกรรมกรจึงเป็นผู้มีคุณูปการที่ยิ่งใหญ่แก่สังคมมนุษยชาติในยุคปัจจุบันในระบบทุนิยมนายทุนกับกรรมกรต้องอยู่ร่วมกันและร่วมกันดำเนินระบบเศรษฐกิจแห่งชาติโดยมีหน้าที่ทางเศรษฐกิจ คือ นายทุนออกทุนกรรมกรออกแรง แต่ในระบบสังคมนิยมมีแต่กรรมกรอย่างเดียวไม่มีนายทุนแต่ต้องใช้ระบบทุนนิยมไปช่วยสร้างสังคมนิยมจึงจะดำรงค์อยู่และพัฒนาไปได้ เช่น จีนเวียดนาม ลาว เขมร เป็นต้น
กรรมกรนอกจากจะเป็นผู้สร้างระบบทุนนิยมคู่กับนายทุนดังกล่าวแล้วยังเป็นผู้สร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเป็นรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจะดำรงอยู่และพัฒนาไปสู่ความไพบูลย์ได้ต้องอาศัยการปกครองประชาธิปไตย ถ้าการปกครองเป็นระบอบเผด็จการไม่ว่ารูปใด ๆก็ไม่เพียงแต่จะขัดขวางพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเท่านั้นหากยังเป็นอันตรายแก่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมถึงกับวินาศย่อยยับได้ด้วยดังเช่นการปกครองระบอบเผด็จการในหลายประเทศ และวิกฤตเศรษฐกิจพ.ศ. 2540ของประเทศไทย เป็นเงื่อนไขให้คอมมิวนิสต์ทำลายระบบเศรษฐกิจทุนนิยมทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไป
กรรมกรร่วมกับนายทุนในการสร้างประชาธิปไตยนั้นทำหน้าที่คนละอย่างเช่นเดียวกับการร่วมกันสร้างทุนนิยม กล่าวคือนายทุนเป็นผู้สร้างหลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น อำนาจอธิปไตยของปวงชนเสรีภาพ ความเสมอภาค หลักนิติธรรม และรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หลักการเหล่านี้ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นการปกครองที่ดีที่สุดของมวลมนุษยชาติจึงได้รับความสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปแต่เมื่อนายทุนได้อำนาจการปกครองประเทศโดยการสนับสนุนจากประชาชน สำคัญที่สุดคือความสนับสนุนจากกรรมกรแล้ว ก็ละทิ้งหลักการประชาธิปไตยที่ตนสร้างขึ้นเสียเองและหันไปใช้การปกครองระบอบเผด็จการกรรมกรจึงนำประชาชนเข้าต่อสู้เพื่อผลักดันให้นายทุนปฏิบัติหลักการประชาธิปไตย ทำให้การสร้างประชาธิปไตยเป็นผลสำเร็จความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยจึงเกิดจากบทบาทของกรรมกรเป็นสำคัญ ไม่ว่าในอักฤษฝรั่งเศส อเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่น ๆ ที่สร้างประชาธิปไตยสำเร็จล้วนแต่เป็นเพราะการต่อสู้ของกรรมกรทั้งสิ้น ประเทศใดกรรมกรไม่ต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยประเทศนั้นก็สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จดังนั้น กรรมกรจึงเป็นผู้ชี้ขาดความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยกรรมกรจึงเป็นผู้มีเกียรติอย่างยิ่งแต่ความเป็นจริงข้อนี้ประชาชนมักจะมองไม่ใคร่เห็นเพราะนักประวัติศาสตร์มักจะมีอคติต่อกรรมกร
เมื่อกรรมกรมีบทบาทสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยเช่นนี้จึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มภาคภูมิทั้งสิทธิทางเศรษฐกิจ สิทธิทางการเมือง และสิทธิทางสังคมรวมถึงสิทธิด้านแรงงานสัมพันธ์ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือหลักกฎหมายใดในประเทศประชาธิปไตยตัดสิทธิเหล่านี้ของกรรมกรถ้ากรรมกรของประเทศใดถูกตัดสิทธิเหล่านี้ ประเทศนั้นจะอ้างว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยมิได้เลยข้อเท็จจริงในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เช่น ในอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ญี่ปุ่นฯลฯ ยืนยันว่ากรรมกรมีสิทธเหล่านี้อย่างบริบูรณ์และกล่าวเฉพาะสิทธิด้านแรงงานสัมพันธ์แล้วมาตรฐานก็คืออนุสัญญาทั้งหลายขององค์การกรรมกรระหว่างประเทศของสหประชาชาติ หรืออนุสัญญา ILO หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก วันที่ 30 เมษายน 51 พาดหัวว่า“ตบหน้าลูกจ้างล้มถกค่าแรงดับฝันวันเมย์เดย์-ม็อบฮึ่ม”กรรมกรเรียกค่าแรงขั้นต่ำอีก 9 บาทปรากฎว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันขึ้นไปรออยู่แล้ว 22 บาทแสดงว่ายิ่งเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำยิ่งไม่พอกินดังเช่นเรียกร้องค่าจ้างขั้นต่ำกันตลอดมาทุก ๆ ปี มีทางเดียวเท่านั้นคือเรียกร้องให้พอกิน คือเรียกร้องประชาธิปไตยเช่นเดียวกับกรรมกรทั้งโลก
แต่ประเทศไทยยังไม่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้นและยากจนหนักลง ถ้าดูอีกแง่หนึ่ง เมืองไทยมีประชาธิปไตยเหมือนกันแต่ประชาธิปไตยที่เรามีนั้น ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตยแค่เพียงมีวิธีการประชาธิปไตยบางอย่าง เช่น ระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งเป็นต้นและเอาสิ่งเหล่านี้มารับใช้การปกครองระบอบเผด็จการเท่านั้นการปกครองของเราเป็นระบอบเผด็จการ เพราะอำนาจอธิปไตยอยู่ในกำมือของนายทุนพ่อค้านักธุรกิจแต่เอาระบบรัฐสภามาเป็นรูปแบบของการปกครองเผด็จการจึงเรียกว่าระบอบเผด็จการชนิดนี้ว่าการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาแต่มีการหลอกกรรมกรและประชาชนว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการหลอกก็คือการเลือกตั้งแบบเผด็จการซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ตัดสิทธิ์ทางการเมืองอย่างร้ายแรงชนิดที่ไม่เคยมีในการเลือกตั้งของระบอบประชาธิปไตยในประเทศใดๆ ไม่ต้องดูจากการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของประชาชนทั่วไป ดูแต่เพียงตัดสิทธิด้านแรงงานสัมพันธ์ที่ไม่ยอมให้กรรมกรรัฐวิสาหกิจมีสหภาพแรงงาน หรือไม่ยอมให้มีสหภาพแรงงานสำหรับกรรมกรทั่วไปเช่นพรบ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518 แต่เป็นพรบ.ที่ตัดสิทธิของกรรมกรอย่างรุนแรงและปัญหาความยากจน ก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ประเทศเราไม่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เมื่อประเทศยังไม่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยหรือยังไม่เป็นประชาธิปไตย กรรมกรจึงมีภารกิจในการต่อสู้เพื่อทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยเพราะกรรมกรต้องต่อสู้เพื่อทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้วเท่านั้นจึงจะมีกฎหมายรับรองสิทธิโดยบริบูรณ์ของกรรมกรและกรรมกรจึงจะหมดสิ้นความยากจนได้
ฉะนั้นเมื่อพูดถึงสิทธิของกรรมกรไทยในปัจจุบัน รวมทั้งพนักงานรัฐวิสาหกิจ จึงหมายถึงสิทธิของกรรมกรในประเทศเผด็จการไม่ใช่สิทธิของกรรมกรในประเทศประชาธิปไตย
สิทธิของกรรมกรในประเทศเผด็จการนั้นด้านหนึ่งกรรมกรถูกตัดสิทธิอย่างรุนแรง เป็นต้นแต่อีกด้านหนึ่งกรรมกรมีสิทธิโดยธรรมชาติในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยจะเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่กรรมกรในประเทศต่าง ๆใช้สิทธิของตนในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เช่น อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ฯลฯ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งกรรมกรในประเทศเหล่านั้นจะต้องใช้สิทธิตามธรรมชาติต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยเท่านั้นกรรมกรจึงจะมีสิทธิตามกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยได้ การหวังจะให้มีสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยในขณะที่ยังไม่มีระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นการใช้สิทธิของกรรมกรไทยในปัจจุบันรวมทั้งกรรมกรรัฐวิสาหกิจจึงหมายถึงการใช้สิทธิตามธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างกว้างขวางในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยและเป็นการต่อสู้ โดยสันติตามวิถีทางรัฐธรรมนูญซี่งเป็นทางเดียวที่จะบรรลุความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย
การผลักดันการสร้างประชาธิปไตยโดยกรรมกรนั้นมีอยู่เป็นสากลอันเป็นสิทธิของกรรมกรตามที่ILO รับรองอยู่แล้วซึ่งมีอยู่ตามคำรายงานต่อที่ประชุมสมัชชากรรมกรแห่งชาติสมัยประชุมที่ 1/2536 เมื่อ 11 กันยายน 2536 ณ ปากช่อง นครราชสีมา เรื่อง“แนวทางการต่อสู้ของกรรมกรไทยกับการแก้ไขปัญหาของชาติ” ดังต่อไปนี้
“เพื่อนกรรมกรที่รักแนวทางของกรรมกรคืออะไรนั้น กรรมกรทุกคนทราบดีอยู่แล้วแนวทางของกรรมกรก็คือแนวทางการหยุดงานทั่วไป
แนวทางการหยุดงานทั่วไปเป็นแนวทางการต่อสู้ของกรรมกรเองโดยเฉพาะและเป็นแนวทางของกรรมกรทั่วโลกแม้ว่ากรรมกรจะมีรูปแบบการต่อสู้อย่างอื่น แต่การหยุดงานทั่วไปเป็นรูปแบบการต่อสู้สูงสุดของกรรมกรจึงทำให้การหยุดงานทั่วไปมีประสิทธิภาพสูงสุดในการโค่นเผด็จการ และการสร้างประชาธิปไตย
การสร้างประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ นอกจากที่ดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์แล้วสำเร็จลงด้วยการหยุดงานทั่วไปของกรรมกรเป็นพลังผลักดันทั้งสิ้นเพราะเมื่อนายทุนได้อำนาจรัฐด้วยการสนับสนุนจากกรรมกรแล้ว ก็ละทิ้งหลักการประชาธิปไตยของตนเสียหันไปใช้การปกครองระบอบเผด็จการที่ตนโค่นล้มลงไปกรรมกรจึงต้องผลักดันให้นายทุนปฏิบัติหลักการประชาธิปไตยของตนวิธีผลักดันที่สำคัญที่สุดคือการหยุดงานทั่วไป นี่คือกรรมกรเป็นผู้สร้างประชาธิปไตยร่วมกับนายทุนทำให้ความสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับบทบาทของกรรมกร ถ้าไม่มีการผลักดันจากกรรมกรแล้วนายทุนก็ไม่ยอมสร้างประชาธิปไตยแต่นักประวัติศาสตร์มักจะปิดบังความจริงข้อนี้ พราะมีอคติต่อกรรมกร
การหยุดงานทั่วไปมีบทบาทชี้ขาดในประวัติศาสตร์ของการโค่นล้มเผด็จการสร้างประชาธิปไตยเริ่มต้นด้วยการสร้างประชาธิปไตยของขบวนการกรรมกรชาติสต์(Chartist) ในอังกฤษซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษที่เป็นแบบฉบับโดยการหยุดงานทั่วไปเป็นรูปการต่อสู้ที่สำคัญระยะหลังสุดคือการโค่นล้มระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะในโปแลนด์ ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์นั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะถูกโค่นลงมาได้แต่ขบวนการกรรมกรโซลิดาริตี้ (Solidarity)ในโปแลนด์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถโค่นลงได้ด้วยการหยุดงานทั่วไปไม่ว่าการปกครองระบอบเผด็จการรูปใด รวมทั้งระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาสามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นระบอบประชาธิปไตยได้ทั้งสิ้นได้ด้วยการหยุดงานทั่วไป นีคือสูตรของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศทั้งปวงประเทศไทยก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่การหยุดงานทั่วไป จะเป็นไปตามลักษณะพิเศษของประเทศไทยคือ เป็นสันติวิธีอย่างแท้จริง
พี่น้องกรรมกรทั้งหลายเมื่อพระราชกรณียกิจสถาปณาการปกครองระบอบประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชถูกขัดขวางทำลาย ภารกิจการสร้างประชาธิปไตยในประเทศก็มาตกอยู่กับกรรมกร ฉะนั้นแนวทางการต่อสู้ของกรรมกรไทยกับการแก้ปัญหาของชาติก็คือการหยุดงานทั่วไปเพื่อการสร้างประชาธิปไตยและนี่คือภารกิจของสมัชชากรรมกรแห่งชาติ”
ดังนั้นเพื่อบรรลุความสำเร็จในภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่สร้างประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาของชาติและของประชาชนแล้วจะแก้ปัญหาของกรรมกรตกไปอย่างเป็นไปเองกระผมจึงเสนอต่อมวลพี่น้องกรรมกรผู้มีเกียรติทั้งหลายและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดังต่อไปนี้...
1. เริ่มต้นมาตรการแรกที่สุดคือ ปฏิวัติขบวนการกรรมกรให้สำเร็จเสียก่อน คือ เลิกคิดเลิกเรียกตัวเองว่า“ผู้ใช้แรงงาน” หรือ “พนักงานรัฐวิสาหกิจ” กลับไปสู่สภาพเดิมแท้ (Status-quo) เป็นตัวของตัวเอง คือ “กรรมกร”ซึ่งเป็นคำที่มีเกียรติสูงส่งที่สุดตามที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ได้รับรองไว้อย่ายอมตกเป็นทาสทางความคิดของฝ่ายเผด็จการที่ทำลายกรรมกรให้อ่อนแอพ่ายแพ้โดยบิดเบือนความเป็นกรรมกรและภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของกรรมกรทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการเมือง
2. ให้ฝ่ายการเมือง และข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับกรรมกรทั้งสิ้นให้ช่วยปลดปล่อยทางความคิดจิตวิญญาณและทางการเมืองอันเป็นการสร้างประชาธิปไตยมาตรการแรกคือ เปลี่ยนคำว่า “พนักงานรัฐวิสาหกิจและผู้ใช้แรงงาน” มาเป็นคำว่า “กรรมกร”ที่ถูกต้องตามหลักวิชาและเป็นการให้เกียรติไม่เหยียดหยามต่อกรรมกรเยี่ยงเผด็จการโดยเปลี่ยนวันแรงงานแห่งชาติเป็นวันกรรมกรแห่งชาติดังประกาศคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2498อีกทั้งให้สิทธิเสรีภาพแก่กรรมกรในการเคลื่อนไหวกู้ชาติสร้างประชาธิปไตยแก้ปัญหาชาติประชาชนอันเป็นการแก้ปัญหาของกรรมกรอย่างเป็นไปเอง รัฐบาลจะได้ไม่ต้องมาคอยแก้ไขปัญหาม็อบหรือปัญหาค่าแรงขั้นต่ำไม่รู้จบอยู่เช่นนี้ และกรรมกรจะช่วยแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจสังคม-วัฒนธรรมอย่างทั่วด้าน คือช่วยเป็นแรงพลังผลักดันช่วยรัฐบาลสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จรัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพอยู่ได้ยาวนานต่อไป
3. พี่น้องกรรมกรผู้มีเกียรติที่รักทั้งหลายเริ่มติดอาวุธทางความคิดโดยยึดถือแนวทางการแก้ปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทยที่สืบทอดพระบรมราโชบายการสถาปณาการปกครองแบบประชาธิปไตยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 พระบิดาแห่งระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนโยบาย66/23 อันเป็นนโยบายแห่งชาติที่เคยใช้รักษาเอกราชของชาติไว้มาแล้ว 3 ครั้งคือรักษาเอกราชจากการรุกรานของลัทธิล่าอาณานิคมโดยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5รักษาชาติบ้านเมืองจากภัยคอมมิวนิสต์อินโดจีนด้วยการต่อสู้เอาชนะปฏิเสธทฤษฎีโดมิโนตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 110/12 โดยรัฐบาลจอมพล ถนอม รักษาชาติและราชบัลลังก์จากภัยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตามนโยบาย66/23 โดยรัฐบาลพลเอก เปรม
4. พี่น้องกรรมกรผู้มีเกียรติที่รักทั้งหลายเริ่มทำการจัดตั้งองค์การมวลชนกรรมกรระดับชาติให้เป็นเอกภาพเข้มแข็งในรูปของ“สภาแรงงานแห่งชาติ”(NationalLabour Council) ตามหลักการจัดตั้ง 5 หลักขององค์การสหประชาชาติ คืออิสระภาพ เสรีภาพ เสมอภาค สุขุมคัมภีรภาพ ดุลยภาพ
5. ลงมือผลักดันการสร้างประชาธิปไตยตามาตรการผลักดันของกรรมกรที่ทรงพลังและสันติถูกกฎหมาย ตามวิถีทางรัฐธรรมนูญดังเช่น คำรายงานของสมัชชากรรมกรแห่งชาติคือการหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตย(General Strike) อันเป็นหยุดงานทางการเมือง(Political Strike) ซึ่งเป็นการปฏิบัติกฎหมายสูงสุด (SupremeLaw) คือรักษาความมั่นคงแห่งชาติทั้งสถาบันชาติ สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตรริย์ โดยการสร้างประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อเอาชนะขบวนการ ล้มปืนล้มทุน ล้มเจ้า หรืออาเพศ 10 ประการตามแบบอย่างการสร้างประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอันเป็นการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือขยายเสรีภาพของบุคคล ขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชนบรรลุการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันเป็นการกระจายอำนาจ และนำสู่การสร้างประชาธิปไตยทางเศรฐกิจคือ การกระจายทุน และการสร้างประชาธิปไตยทางวัฒนธรรม คือการกระจายธรรมบรรลุสังคมประชาธิปไตยที่เป็นสังคมในอุดมคติของคนไทยทุกคน และที่สำคัญที่สุดแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าคือความขัดแย้งของลัทธิรัฐธรรมนูญระหว่างรัฐบาล กับ กปปส.ที่กำลังจะรุนแรงนองเลือดให้ยุติลงในทันทีที่กรรมกรลงมือปฏิบัติภารกิจการผลักดันการสร้างประชาธิปไตย
โดย อนุสรณ์ สมอ่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น