วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือด่วนที่สุด เรื่อง ยุทธศาสตร์ต่อสู้เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฯ ต่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา

หนังสือด่วนที่สุด เรื่อง ยุทธศาสตร์ต่อสู้เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฯ ต่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผบ.ทบ และ ผอ.กอ.รส. ณ กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ เวลา 12.00 น.

สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทย ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ด่วนที่สุด 28 พฤษภาคม 2557 เรื่อง ยุทธศาสตร์ต่อสู้เอาชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฯ
เรียน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ผบ.ทบ. และ ผอ.กอ.รส. ตามที่ กองทัพแห่งชาติที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้รักษาความมั่นคงแห่งชาติ และรักษาความปลอดภัยของประชาชน อันเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) คือ “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด” ตามการปกครองทางสากลอันเป็นกฎหมายแห่งชาติและกฎหมายระหว่างชาติ ได้ประการกฎอัยการศึก(Martial Law) พ.ศ. 2457 ซึ่งเป็นรูปหนึ่งของกฎหมายสูงสุด แล้วได้เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 7 ฝ่ายที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อยอันเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชน ให้มาตกลงเจรจาร่วมกันแก้ปัญหาชาติให้เกิดสงบเรียบร้อยเกิดความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นเวลา 2 วัน แต่ปรากฏว่าไม่สามารถจะร่วมกันแก้ปัญหาชาติและประชาชนให้เกิดความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนอันเป็นกฎหมายสูงสุดได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งขยายความขัดแย้งรุนแรงกันไปเป็นการขนานใหญ่
ในที่สุด เมื่อไม่มีทางออกใดๆจากการพบปะเจรจากันทั้ง 7 ฝ่าย ตามความพยายามอย่างสุดกำลังของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายหมายสูงสุด(Supreme Law)และตามกฎอัยการศึก(Martial Law) และตามนโยบาย 66/23 และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 1, 2, 3, และมาตรา 77 ตามหน้าที่และภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของกองทัพแห่งชาติคือรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนในฐานะกลไกเอกของรัฐ(Principle State Machine) ซึ่งเป็นไปตามพระราชดำรัส ร.3 ว่า.. “กองทัพคือกำลังเป็นฐานของอำนาจ” และอำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน ปืนคือกองทัพ ดังนั้น กองทัพคืออำนาจรัฐ นั่นเอง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้อำนาจการ กอ.สร. จึงได้ยกระการรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนขึ้นสู่ขั้นสูงสุดก่อนสถานการณ์จะไม่อาจจะควบคุมได้สุ่มเสี่ยงต่อความวิบัติหายนะแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน อันเป็นการปฏิบัติการป้องปรามหรือตัดไฟแต่ต้นลมที่เป็นความไม่ประมาทนั่นเอง จึงได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยทั้งสิ้น ที่ถูกระบอบเผด็จการรัฐสภาโดยพรรคการเมืองของคนส่วนน้อยทุนผูกขาดสามานย์ทำให้อำนาจรัฐอ่อนแอสุดขีด และเกิดสภาวะอนาธิปไตยอยู่สุดขีด(Hyper Anarchy) กลายเป็นรัฐล้มเหลว(Failed State) ในฐานะที่กองทัพแห่งชาติเป็นผู้ประกันการดำรงอยู่ของรัฐ(State)หรือประกันความมั่นคงของรัฐ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น. ซึ่งเป็นการเข้ารักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนตามกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)คือ “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยเป็นกฎหมายสูงสุด” และกฎอัยการศึก(Martial Law) และนโยบาย 66/23(State Policy หรือ National Policy) เป็นทางดำเนินการ จึงเป็นการดำเนินการตามวิถีทางกฎหมาย และไม่มีเจตนาที่จะใช้ความรุนแรงแต่อย่างใดทั้งสิ้น จึงไม่ใช่... “การรัฐประหาร”(Coup et’ stat) เพราะการรัฐประหารคือ “การเปลี่ยนรัฐบาลด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย” และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำโดย.. “สถาบันกองทัพแห่งชาติ” ซึ่งประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้บัญชาการสูงสุดของทั้ง 4 เหล่าอันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสูงสุดอย่างสมบูรณ์ของกองทัพแห่งชาติ(National Armed Force) จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ตามกฎหมายและการเมืองและการทหารที่ถูกต้องสมบูรณ์ทุกประการไม่อาจจะโต้เถียงหรือโต้แย้งได้อย่างสิ้นเชิง สถาบัน(Institution)ย่อมทำไม่ผิด ย่อมทำถูกต้องตลอดไป เพราะเป็นสถาบันฯ และทำตามวิถีทางกฎหมาย และไม่กระทำการรุนแรงโค่นล้มฆ่าฟันนองเลือดแต่อย่างใดทั้งสิ้น เมื่อไม่ได้ทำรัฐประหารที่รุนแรงผิดกฎหมาย แต่ทำตามกฎหมาย ทำโดยสถาบันฯ ทำตามนโยบาย 66/23คือต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรง หรือสงครามกลางเมือง หรือมิคสัญญีกลียุค หรือการจลากลนองเลือดของคอมมิวนิสต์ไทย และทำอย่างสันติอหิงสาพุทธทุกประการ จึงไม่ต้องทำนิรโทษกรรมต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะคณะ คสช.ไม่มีความผิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) และองค์รัฏฐาธิปัตย์(The Sovereign) และจอมทัพไทย(Generalissimo)ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และ ผอ.กอ.รส. เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจรักษาความความมั่นแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนตามที่ได้ปฏิบัติมาอย่างถูกต้องแล้วและจะทำต่อไปให้บรรลุความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ดังนั้น การกระทำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผอ.กอ.รส. และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้นถูกต้องทั้งทางกฎหมาย(ทั้งกฎหมายแห่งชาติ และกฎหมายระหว่างชาติ) ถูกต้องทั้งทางการเมือง(รักษาเอกราชและสร้างและรักษาประชาธิปไตยตามแนวทางของ ร.5 ร.6 ร.7 ) ถูกต้องทั้งทางการทหาร(รักษาความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนในฐานะกลไกเอกแห่งรัฐที่เหมือนกันทุกรัฐทุกประเทศทั่วโลก) และนโยบายแห่งชาติหรือนโยบายแห่งรัฐ(National Policy หรือ State Policy)อันเป็นกฎหมายสูงสุดตามกฎหมายแห่งชาติและกฎหมายระหว่างชาติ อันเป็นกิจการภายในของชาติ(Internal Affair) ที่ต่างชาติจะต้องเคารพ ไม่เข้ามาแทรกแซง อันเป็นไปตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 5 หลัก คือ “

1.ไม่รุกราน  

2. ไม่แทรกแซงกิจการภายใน  

3.เคารพในบูรณภาพแห่งอาณาเขต  

4. เสมอภาคถ้อยทีถ้อยอาศัยในผลประโยชน์ร่วมกัน และ

5. อยู่ร่วมกันอย่างสันติของประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน” อันเป็นไปตาม

หลักกฎหมายระหว่างประเทศ และตามกฎบัตรสหประชาชาติ
1.) การต่อต้านของต่างประเทศในเครือของสหรัฐอเมริกา เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในอียู ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นการแทรกกิจการภายในของประเทศไทยอย่างชัดแจ้ง ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(International Relationship Principles) คือ กระทำการแทรกแซงกิจการภายในต่อประเทศไทย เป็นการบิดเบือนและใส่ร้ายกองทัพไทยว่ากระทำการรัฐประหารเข้าเปลี่ยนรัฐบาลด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย แต่โดยแท้จริงแล้วกองทัพไทยได้ปฏิบัติตามวิถีทางกฎหมายทุกประการ ตั้งแต่กฎอัยการศึก และกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) คือ “ความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด” และนโยบายแห่งชาติหรือนโยบายแห่งรัฐ(National Policy หรือ State Policy)ที่ยังใช้อยู่ไม่ได้ประกาศยกเลิกและไม่สามารถยกเลิกได้อย่างสิ้นเชิงเพราะเป็นนโยบายแห่งรัฐ(State Policy)ตามสนธิสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1949และสนธิสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1899 - 1907 การยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บท(Principle Law หรือ Fundamental law) โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้น เป็นการใช้กฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ที่มีศักดิ์มีอำนาจสูงกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีศักดิ์มีอำนาจต่ำกว่าเพราะเป็นเพียงกฎหมายหลักหรือกฎหมายแม่บทเท่านั้น กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของรัฐ(State) แต่กฎหมายสูงสุดคือความมั่นคงของรัฐย่อมสูงสุดกว่ารัฐและสูงกว่ากฎหมายของรัฐ และใช้อำนาจอธิปไตย(Sovereign Power)อันเป็นอำนาจรัฐชนิดสูงสุดที่เป็นของกองทัพแห่งชาติได้เข้าควบคุมอย่างสันติและถูกกฎหมายเข้ายกเลิกรัฐธรรมนูญ จึงทำได้อย่างถูกต้องทั้งทางกฎหมายและทางการเมือง
2.) มีบุคคลบางกลุ่ม ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของของกองทัพแห่งชาติ และการรักษาความมั่นคงของชาติและการรักษาความปลอดภัยของประชาชนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังเช่น การเคลื่อนไหวชุมนุมในที่ต่างๆ ในรูปของม็อบ ฯลฯ นั้น ก็เป็นสิทธิของประชาชนในลัทธิประชาธิปไตย และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน และสนธิสัญญาว่าด้วนสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองฯ ที่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นเสรีภาพทางความคิดอันเป็นรากฐานของเสรีภาพทั้งปวง และเป็นสิทธิทางการเมือง แต่เป็นการใช้เสรีภาพทางความคิดและใช้เสรีภาพทางการเมืองที่ผิดพลาด เพราะเกิดจากความเห็นผิด(มิจฉาทิฎฐิ) หรือทฤษฎีผิด ดังนี้คือ...
2.1 เพราะประชาชนบางกลุ่มบางคนมีความเห็นผิดว่าการปกครองระบอบปัจจุบันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้ยกเลิกไปแล้วนี้เป็นการยกเลิกการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยแท้จริงแล้ว “การปกครองระบอบที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ยกเลิกไปนั้นคือการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาต่างหาก”
2.2 ประชาชนบางกลุ่มเข้าใจผิดหรือมีความเห็นผิดว่า... “การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของกองทัพแห่งชาติ...เป็นการรัฐประหาร หรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาลประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย” แต่โดยแท้จริงแล้วเป็นการการเข้าควบคุมอำนาจอย่างสันติและถูกฎหมายทุกประการ และเป็นการเปลี่ยนรัฐบาล(Administrative)และระบอบ(Regime)เผด็จการรัฐสภามาเป็นรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 และมาตรา 3 และตามนโยบาย 66/23 และตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)รักษาความมั่นคงของชาติตามมาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญ คือ “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้” เพราะมีการเคลื่อนไหวแบ่งแยกราชอาณาจักร เช่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ สปป.ล้านนา และการโค่นเปลี่ยนรูปของประเทศ(Form of Country)จากราชอาณาจักร(Kingdom)ไปเป็นสาธารณรัฐ(Republic) หรือการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้น
2.3 การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองสูงสุดของประเทศนั้น ต้องการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาที่ถูกทำแนวร่วม(United Front)โดยคอมมิวนิสต์(พคท)ที่ทำลายชาติและทำร้ายประชาชนตลอดมายาวนานกว่า 81 ปี และต้องการจะสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เรียกว่า “ปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรมและสังคมอย่างทั่วด้าน” นั่นเอง หาใช่เพื่อจะสร้างการปกครองระบอบเผด็จการทหาร หรือระบอบเผด็จการรัฐประหารแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ถ้าประชาชนบางกลุ่มที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ดังกล่าวแล้ว ก็จะเลิกการต่อต้านคัดค้าน และหันมาสนับสนุนการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างแน่นอน ซึ่งทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือองค์การหรือกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ทำการอรรถาธิบายความจริงความถูกต้องทั้งหมดทั้งปวงนี้แก่ประชาชนและต่างชาติโดยองค์การหรือกลุ่มที่มีลักษณะประชาชนสูง ดังเช่น ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ หรือคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทย ฯลฯ เป็นต้น ที่ได้ร่วมมือกับกองทัพแห่งชาติมายาวนานตามนโยบาย 66/23 และตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 เพราะประชาชนพูดหรืออธิบายจะมีน้ำหนักมาก เพราะมีลักษณะความเป็นประชาชน ซึ่งก็ประกอบกับคำอธิบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเองด้วย ซึ่งจะครบถ้วนทั้ง 2 ด้าน ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีไม่ได้หรือไม่มีน้ำหนักหรือไม่แหลมคมพอ สรุป....การปราบม็อบหรือการต่อสู้เอาชนะกลุ่มต่อต้าน...ต้องใช้วิธีที่เหนือกว่า และไม่ให้เข้าแผนกับดักหรือยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการจะให้ คสช.ปราบปรามจับกุมคุมขังประชาชนจนกลายเป็นศัตรูของประชาชนอย่างเป็นไปเอง โดย คมช.ใช้ “นโยบาย 3 ไม่คือ ไม่ปราบ ไม่จับ ไม่ประจาน” และนโยบาย 3 รุก คือ... “รุกด้วยความเห็นถูก รุกด้วยการเมืองถูก รุกด้วยมวลชนถูก” อันเป็นการเปลี่ยน... “ม็อบ(ฝูงชนเผด็จการรุนแรง)...ให้เป็น...แม็ส(มวลชนประชาธิปไตยสันติ” นั่นเอง
3.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า จะทำการรุกทางการเมือง(Political Offensive) และกระทำการรุกทางการเมือง(Practicing the Political Offensive) ต่อสู้เพื่อเอาชนะต่อเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ และเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่เข้าทำแนวร่วมกับเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ และม็อบ นปช. และทำแนวร่วมประชาชาติ(International United Front)กับนานาชาติ เช่น เครือประเทศอเมริกาทั้งสิ้น และฝ่ายต่อต้านทั้งสิ้น ให้มีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสิ้นเชิงยั่งยืนยาวนานตลอดไป ดังมาตรการดังต่อไปนี้....
3.1 ใช้ยุทธศาสตร์และนโยบายยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ที่ถูกทำแนวร่วมโดยเผด็จการคอมมิวนิสต์ และ นปช รวมทั้งแนวร่วมประชาชาติทั้งหลาย....คือ... - ยกเลิกรัฐบาลของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาให้สิ้นสุดลง - ยกเลิกรัฐสภาของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาให้สิ้นสุดลง(ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา) - ยกเลิกรัฐธรรมนูญของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภาทั้งฉบับ - ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง อันเป็นการยกเลิกพรรคการเมืองเผด็จการทุนผูกขาดทั้งสิ้นที่ขึ้นมากุมรัฐ(กุมอำนาจรัฐและกุมกลไกรัฐ) ที่รักษาการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา - ยกเลิกกฎหมาย พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฉบับปัจจุบัน ให้กลับไปใช้ พรบ.แรงงานปี 2518 ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)เพื่อปลดปล่อยให้กรรมกรรัฐวิสาหกิจเป็นเอกภาพกับกรรมกรเอกชน มีอิสระมีพลังผลักดันช่วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ - ยกเลิกมวลชนเผด็จการทั้งสิ้น เช่น ม็อบต่างๆ เปลี่ยนเป็นมวลชนประชาธิปไตย โดยช่วยเหลือส่งเสริมให้ประชาชนยึดถือลัทธิประชาธิปไตยของ ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 เลิกยึดถือลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการของคณะราษฎรทั้งสิ้นลง เพราะมวลชนเผด็จการเหล่านี้จะช่วยรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภา และขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยตามแนว ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ตลอดมา แล้วสร้างมวลชนประชาธิปไตยตามแนวทางทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 เพื่อทำหน้าที่เป็นผลักดัน(Main Pressured Forces)การสร้างประชาธิปไตย และทำหน้าเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กรักษาภารกิจการสร้างประชาธิปไตยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติไว้ให้บรรลุความสำเร็จดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไป
3.2 ยกระดับจัดตั้งคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ(คสช.)ให้เป็นพรรคปกครอง(Ruling Party)ที่กุมอำนาจรัฐและกุมกลไกแห่งรัฐ ของประชาชนคนทั้งประเทศอย่างทั่วถึงและกว้างขวางที่สุดอันมีลักษณะเป็นพรรคประชาธิปไตย(Democracy)เช่นเดียวกับพรรคสหประชาไทยในอดีตของจอมพลถนอม และมีลักษณะเป็นพรรคมวลชน(Mass Party) ด้วยการจัดตั้งหน่อยระดับรากฐานที่มั่นคงแข็งแกร่งรองรับพรรค คชส. คือ... ๐ คสช.แห่งชาติ ๐ คสช.จังหวัด ๐ คสช.อำเภอ ๐ คสช.ตำบล
เพื่อไม่ให้มีข้ออ่อนทำเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามดึงเอาประชาชนขึ้นมาทำลายโค่นล้มคณะรักษาความสงบแห่งชาติ การจัดตั้งเช่นนี้เป็นการยึดกุมประชาชนไว้ได้อย่างหนาแน่นเด็ดขาดเบ็ดเสร็จและยั่งยืนตลอดไป เพราะโดยแท้จริงแล้ว คสช.คือ พรรคปกครอง(Ruling Party) ซึ่งกองทัพแห่งชาติได้สร้างขึ้นมาเพื่อดำเนินการทางการเมืองการปกครอง คือ ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ สร้างระบอบประชาธิปไตย หรือสร้างอำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ...ได้ยกระดับขึ้นเป็น... “นักการเมืองทหาร”.. ไปแล้วอย่างเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่เหมือนก่อนการเข้าควบคุมอำนาจเช่น ตอนเป็น กอ.รส. ตอนนี้เป็น “นักการทหาร” ไม่มีความเป็น “นักการเมืองทหาร” เช่น ปัจจุบันนี้ ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะฯ จะต้องทำหน้าที่และภารกิจทางการเมืองการปกครอง คือ ต่อสู้เอาชนะเผด็จการรัฐสภาทุนผู้ขาดสามานย์และเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่ทำแนวร่วมอยู่ให้ชนะให้จงได้ ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้หรือคู่สงครามใหม่ของกองทัพแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
หมายเหตุ...พรรค คสช. จัดตั้งตามลัทธิรวมศูนย์แบบธรรมะประชาธิปไตยคือ... ๐ ข้างน้อยขึ้นต่อข้างมาก ถือเสียงข้างมากเป็นมติ คำนึ่งถึงข้างน้อยด้วย ๐ องค์กรระดับร่างขึ้นต่อองค์กรระดับบน คสช.ตำบลขึ้นต่อ คสช.อำเภอ คสช.อำเภอขึ้นต่อ คสช.จังหวัด คสช.จังหวัดขึ้นต่อ คสช.แห่งชาติ คสช.แห่งชาติขึ้นต่อคณะกรรมการบริหารกลาง(Central Committee) ๐ บุคคลทั้งสิ้นขึ้นต่อองค์การจัดตั้ง(คสช) สมาชิกทั้งสิ้นขึ้นต่อ คสช. ตามข้อบังคับ ธรรมนูญ ระเบียบวินัย ข้อกำหนด มติ คำสั่ง นโยบาย แนวทางของพรรค คสช. ๐ ทั่วทั้งพรรค คสช.ขึ้นต่อกรรมการบริการกลาง ซึ่งคัดเลือกจากกรรมการพรรค คสช.ทั่วประเทศ ๐ กรรมการบริหารกลางขึ้นต่อสมัชชาที่ประชุมใหญ่ทั่วประเทศของพรรค คสช. ๐ สมัชชาที่ประชุมใหญ่ทั่วประเทศของพรรคขึ้นต่อแนวทางหลักการนโยบายที่ถูกต้องชอบธรรม(Righteousness)หรือธรรมะประชาธิปไตยอันเป็นธรรมาธิปไตย คสช.เป็นพรรคปกครองที่มีผู้ถือดุล มีสถาบันหลัก มีการจัดตั้ง มีความเป็นพรรคมวลชน มีความเป็นพรรคประชาธิปไตยสายกลาง ซึ่งถือองค์คุณของประเทศไทย 5 ประการคือ... “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจพอเพียง”
3.3 จัดตั้งการปกครองเฉพาะกาล(Provisional Government) ซึ่งเป็นการปกครองในระยะเปลี่ยนผ่าน(transition Period)ตามหลักวิชา ซึ่งจะมีส่วนประกอบของการปกครองเฉพาะกาลดังนี้คือ... ๐ สภาประชาชนสามัคคีสร้างประชาธิปไตยแห่งชาติ ซึ่งมีสมาชิกอย่างกว้างขวางทั่วถึงที่สุด ที่มีสมาชิกครบถ้วนทั้ง 2 ประเภท คือ... - ผู้แทนเขตพื้นที่(Constituency) ที่มีผู้เขตจากเขตอำเภอทุกอำเภอๆละ 1 คน ทั่วประเทศ - ผู้แทนอาชีพ(Walk of Life) ที่มีผู้แทนอาชีพจากทุกสาขาอาชีพตามสัดส่วนจำนวนของแต่ละอาชีพ อาชีพใดมีจำนวนมากก็จะมีผู้แทนอาชีพในสภาฯมากตามสัดส่วน ส่วนอาชีพใดมีจำนวนน้อยก็ให้มีผู้แทนอาชีพในสภาน้อยตามสัดส่วนยุติธรรม - ผู้แทนทั่วไป(General) ซึ่งเป็นผู้แทนที่ไม่สามารถสังกัดอยู่ในผู้แทนหลักทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมีสมาชิกสภาฯ ทั้งสิ้นประมาณ 3,000 – 5,000 คน อันเป็นองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย เป็นสภาแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่สร้างประชาธิปไตยและร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งมาจากทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกชนชั้น ทุกอาชีพ ทุกขบวน ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวไว้ว่า... “สภาของสุเทพฯ เป็นสภาเทียม...แต่สภาของท่านเป็นสภาแท้...เพราะมีทุกฝ่าย ทุกสี ทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น ทุกขบวน ฯลฯ จึงจะมีความสามัคคีปรองดองและสามัคคีแห่งชาติและสามัคคีทางการเมือง มีเสถียรภาพ ดำเนินการแก้ไขปัญหาชาติและประชาชนไปได้สำเร็จ ไม่มีใครมาต่อต้านคัดค้าน เพราะทุกฝ่ายมีผู้แทนของตนอยู่ในสภาเฉพาะกาลนี้หมดแล้ว” - จัดตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกาล” ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสนอต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ว่า... “ให้รักษาการณ์รัฐบาลที่เหลือ 24 คน ลาออก...เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้ง รัฐบาลเฉพาะกาล” ซึ่งเป็นรัฐบาลในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงตามหลักวิชาการ นั่นเอง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้... ๐ รัฐบาลเฉพาะกาล...ดังต่อไปนี้... -มีคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ 66 – 99 คน ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายต่างๆที่มีแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 หรือการปฏิวัติสันติ(Peaceful Revolution)
หมายเหตุ...รัฐมนตรีมีมากยิ่งดี เพราะจะได้แบ่งกันทั่วถึงทุกฝ่าย และจะได้ช่วยกันดูแลและควบคุมกำกับให้ข้าราชการทำตามนโยบายอย่างถูกต้องครบถ้วยเคร่งครัดแน่นอนทั่วถึง และแสดงความรู้รักสามัคคีแห่งชาติและความเป็นเอกภาพ(Unity)และความสามัคคีทางการเมือง และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
- มีนโยบายสร้างประชาธิปไตย(Democratic Policy) ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย 66/23 ซึ่งแปลมาเป็น “นโยบายหลักและนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ”(ตามที่แนบมาพร้อมกันนี้...ส่วนจะเพิ่มนโยบายอื่นๆปลีกย่อยให้ครบถ้วนและสอดคล้องกับยุคสมัยก็ทำได้อย่างเต็มที่ นโยบายเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนที่สำคัญที่สุดอันเป็นหัวใจของการปกครองเฉพาะกาล เพราะจะชี้ขาดความสำเร็จของการต่อสู้เอาชนะเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์และเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่ทำแนวร่วมอยู่ข้างหลังเผด็จการรัฐสภา และมวลชนเผด็จการ นปช. กล่าวอย่างถึงที่สุดคือ... “ด้านหนึ่งคือ..นโยบาย 66/23 ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ของกองทัพแห่งชาติในสถานการณ์สงคราม...อีกด้านหนึ่งของเหรียญคือ..นโยบายสร้างประชาธิปไตยของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติในสถานการณ์สันติภาพ” นั่นเอง มีนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าที คสช. ดำเนินการได้ทันที เช่น
- การยกเลิกการแปรรูป ปตท. และยกเลิกกองทุนน้ำมัน ยกเลิกสัมปทานเก่าที่เสียเปรียบต่างชาติทั้งสิ้นให้ไทยได้ 80% ต่างชาติได้ 20% ลดราคาน้ำมัน ก๊าซ แก็สทั้งสิ้นลง 50% - ยกเลิกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ได้รับกระทบที่ไม่เป็นธรรม - ยกเลิกหนี้สินทั้งสิ้นที่ไม่เป็นธรรมจากระบอบเผด็จการรัฐสภาให้แก่ชาวไร่ชาวนาเกษตรกร และประชาชนคนทั้งประเทศ - ปลดปล่อยนักโทษทั้งสิ้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบอบเผด็จการรัฐสภา - ปฏิรูปที่ดิน(Land Reform) โดยยกเลิกระบบเจ้าที่ดินกระจายกรรมสิทธิ์เอกชนในการถือครองเป็นเจ้าของที่ดินออกไปอย่างกว้างขวางที่สุดตามระบบเสรีนิยม สู่ชาวไร่ชาวนาเกษตรกรคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยการเวณคืนอย่างยุติธรรม แล้วนำเอาเงินที่ได้จากการเวนคืนในรูปพันธบัตรนั้นไปลงทุนในรัฐวิสาหกิจ อันเป็นการกระจายทุนสู่ภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นเอกภาพสัมพันธ์สอดคล้องรองรับซึ่งกันและกัน - นำหุ้นในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไปมอบให้แก่ประชาชนอันเป็นการกระจายทุน และทำให้รัฐวิสาหกิจเป็นของประชาชน และให้ผู้แทนกรรมกรรัฐวิสาหกิจเข้าไปเป็นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหาร(บอร์ด)ประมาณ 50% ของกรรมการบริหารทั้งหมดเพื่อทำให้รัฐวิสาหกิจเป็นประชาธิปไตย - ให้ข้าราชการมีลักษณะประชาธิปไตย คือ ให้ข้าราชการมีสหภาพแรงงานข้าราชการได้ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) จะได้มีความเข้มแข็งมีประสิทธิภาพสูง สามารถปฏิบัตินโยบายของฝ่ายการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างดีประสานสอดคล้องเป็นเอกภาพกัน - ขยายระบบรัฐสวัสดิการขึ้นสู่ระดับสากล คือ เพิ่มเงินสวัสดิการต่างทั้งข้าราชการ และประชาชนให้สอดคล้องกับค่าการครองชีพ โดยเฉพาะประชาชนมีเงินเดือนและเงินบำนาญ ส่วนเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุควรปรับให้สูงขึ้นอีกประมาณ 100 - 200 % - ปลดปล่อยพระสงฆ์ให้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้ง และแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตย สอดคล้องกับพระธรรม พระวินัยของพระพุทธศาสนา - คืนความเป็นธรรมให้แก่ลูกหนี้ทุกคน ที่ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดอันเป็นผลจากระบอบเผด็จการรัฐสภา เช่น การยึดธุรกิจเอกชนมาเป็นของรัฐโดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ
3.4 มีสภาที่ปรึกษาหรือสภานโยบายแห่งชาติ...ที่ประกอบด้วยประชาชนอย่างกว้างขวางที่สุด ซึ่งเป็นองค์การทางการเมืองที่ขึ้นต่อ คสช. โดยเฉพาะ....มีจำนวนสมาชิกจำนวนประมาณ 9,999 คน อันเป็นการฟังเสียงประชาชนที่ใหญ่โตและกว้างขวางทั่วถึงที่สุด อย่างไม่เคยมีมาก่อน แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตย ด้านเสรีภาพทางความคิดและเสรีภาพทางการเมือง - มีรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล(Provisional Constitution) ที่บัญญัติหลักสาระสำคัญของรัฐและการปกครองไว้ด้านหลักการใหญ่ๆ เท่านั้น เช่น รัฐธรรมนูญของจีน หรือรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา มีเพียง 10 – 30 มาตราเท่านั้น.....เพราะรัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อนของรัฐและระบอบการปกครองเท่านั้น แต่เมื่อได้สร้างประชาธิปไตยเสร็จแล้วในทุกๆด้านจนอยู่ตัวคงที่ชัดเจนแน่นอนแล้ว...จึงร่างประชาธิปไตยฉบับถาวร(Permanent Democratic Constitution) สะท้อนภาพ(Reflection) การปกครองแบบประชาธิปไตยในทุกๆด้านไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ต่อไป อนึ่ง ส่วนรายระเอียดอื่นๆ และรายละเอียดเพิ่มเติมจะจัดส่งให้เป็นลำดับไป ตามสถานการณ์และตามความต้องการ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และโปรดกรุณาพิจารณาดำเนินการตามสมควร จะเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่งยวด ซึ่ง ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะเป็นรัฐบุรุษหรือมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยตลอดไป
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง (นายสมาน ศรีงาม) ประธานที่ปรึกษาสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ประธานคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา ประธานกรรมการสภาปฏิวัติแห่งชาติ และเลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ________________________________________________________________ เลขที่ 463 ซอยสวนพลู 8 ถนนสาธรใต้ แขวง/เขตสาทร กรุงเทพฯ 10260 โทร. 0898860868

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ธรรมจักรการเมืองไทย สิ่งที่คนไทยตัองศึกษา

ธรรมจักรการเมืองไทย สิ่งที่คนไทยตัองศึกษา

แนวทางปฏิบัติที่ส่วนราชการต่างๆใช้เป็นแนวทางในการกำหนดแผนงานต่างๆ

แนวทางปฏิบัติที่ส่วนราชการต่างๆใช้เป็นแนวทางในการกำหนดแผนงานต่างๆต่อไปนั้น นอกจากคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ลงวันที่ 23 เมษายน 2523 แล้ว ให้ใช้แนวทางดังต่อไปนี้ประกอบด้วย คือ 

1. การสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาต่อคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นศรัทธาในคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยว่าจะสามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างเสรี มีความสุข มีเกียรติ มีหลักประกัน และมีความหวัง โดยให้มีแนวทางการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้ คือ 

       1.1  ส่งเสริมความรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้องอย่างกว้างขวางทั้งในด้านทฤษฎีและการประยุกต์ทฤษฎีให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ 
       1.2  ให้ข้อมูลข่าวสาร และชี้แจงสถานการณ์ที่ถูกต้องสมบูรณ์โดยต่อเนื่อง อีกทั้งเชิดชูประชาธิปไตยให้ปรากฎแก่ประชาชนทั้งทางเปิดและทางปิดโดยใช้เครื่องมือประชาสัมพันธ์ของรัฐ สื่อมวลชน และนักวิชาการ เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอด ให้ประชาชนมีข้อมูลด้านดีของประชาธิปไตยอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้วิจารณญาณทางการเมืองอย่างอิสระ กล่าวโดยสรุปได้ว่าเป็นการหยิบยกสภาพในแง่ดีขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์
        1.3  จัดให้มีการอบรมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยแก่สื่อมวลชนของรัฐและเอกชน เพื่อเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องไปสู่ประชาชน 
        1.4  ให้ข้าราชการปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างในการเป็นประชาธิปไตยเพื่อก่อให้เกิดศรัทธาแก่ประชาชน 

2. การเร่งรัดการปฏิบัติตามหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยของกลไกรัฐ ให้แยกดำเนินการ ออกเป็น 2 ระดับ คือ 

         2.1  การบริหารระดับสูง เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงหรือฝ่ายการเมือง ได้แก่นักการเมือง ไทยการเมือง และผู้บริหารประเทศมีความสำคัญในฐานะเป็นผู้ตัดสินใจในการบริหารประเทศและเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ จึงมีแนวทางเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถแก้ไขปัญหาได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นดังนี้คือ
                1) กำหนดนโยบายที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพโดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชาติ หากเกิดผิดพลาดต้องรับผิดชอบ 
                2) ใช้ความเข้มแข็ง เด็ดขาดโดยคำนึงถึงความถูกต้องและผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็วทันต่อสถานการณ์และความต้องการเร่งด่วน 
                3) เปิดโอกาสให้หลายๆฝ่าย อาทิ นักวิชาการ สื่อมวลชน กลุ่มผลประโยชน์ และผู้เชี่ยวชาญในทุกสาขาอาชีพเข้ามามีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา 
                4) ปรับปรุงรูปแบบการบริหารราชการในการสั่งการติดตามการแก้ปัญหาสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ จัดให้มีชุดเจ้าหน้าที่ดำเนินการเป็นเรื่องๆ โดยคัดเลือกเจ้าหน้าที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านต่างๆจากทุกส่วนราชการมาช่วยงาน 
                5) ปรับปรุงระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการสถาปนา การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยการให้ข้าราชการมีจิตสำนึกทางการเมือง และทำให้ข้าราชการมีอุดมคติในการสนองตอบประชาชนอย่างมีความรับผิดชอบตลอดจนควบคุมให้ข้าราชการดำเนินการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และสร้างความยุติธรรมให้ประชาชนโดยถ้วนหน้า 
                6) ใช้กลไกรัฐสภาช่วยแก้ปัญหาข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับประชาชนหมู่มาก เพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับตามครรลองประชาธิปไตยตลอดจนออกกฏหมายที่สามารถปฏิบัติได้จริง
                7) ใช้อำนาจที่มีอยู่ดำเนินการปราบปรามกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจเกินกว่าขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่อย่างจริงจัง 
       
            2.2 การบริหารงานที่เกี่ยวกับข้าราชการประจำ เนื่องจากข้าราชการประจำมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นกลไกนำนโยบายของรัฐไปปฏิบัติ แต่ยังขาดจิตสำนึกและอุดมการณ์จึงทำให้ขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควรในการทำอำนาจประชาธิปไตยให้เป็นของปวงชนและทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์จึงมีแนวทางในการเร่งรัดการปฏิบัติหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยของข้าราชการประจำดังต่อไปนี้
                1) ให้ข้าราชการ โดยเฉพาะระดับสูง ศึกษานโยบายของรัฐให้เข้าใจแจ่มชัดจนเกิดความมั่นใจแล้วแบ่งความรับผิดชอบลดหลั่นลงไป
                2) ค้นหาสาเหตุของปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นและหาทางแก้ไขโดยด่วนด้วยความเด็ดขาดและจริงจังโดยในระยะเริ่มแรกควรมุ่งแก้ไขข้าราชการในระดับสูงโดยเฉพาะระดับหัวหน้าหน่วยก่อน เพื่อเป็นตัวอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อระดับรองๆลงมาเองแม้ไม่สมบูรณ์ก็จะได้ผลในระดับหนึ่ง เมื่อทำการต่อเนื่องความสำเร็จจะเพิ่มขึ้น
                3) กำชับให้มีการปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งต่างๆโดยเคร่งครัด และดำเนินการลงโทษผู้ฝ่าฝืนให้เป็นตัวอย่าง นอกจากนั้น ต้องกำกับดูแลมิให้มีการสั่งหรือขอร้องในลักษณะที่ทำให้ข้าราชการต้องรับผิดชอบนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือเกินขีดความสามารถ
                4) ผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องให้ความช่วยเหลือและให้หลักประกันแก่ข้าราชการที่อุทิศตนต่องานราชการแต่ต้องถูกกดดันจากผู้มีอิทธิพลต่างๆ
                5) ดูแล กวดขันไม่ให้ข้าราชการทำตนเป็นเจ้าขุนมูลนายเอารัดเอาเปรียบขูดรีดประชาชน และลงโทษข้าราชการที่ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง
                6) พัฒนาขีดความสามารถ ตลอดจนอบรมและปลูกฝังเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ข้าราชการทุกระดับตระหนักถึงฐานะและภาระหน้าที่ในการเสนอสนองต่อประชาชนอย่างมีความรับผิดชอบเสียสละและซื่อตรง
                7) ปรับปรุงระบบราชการให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้น โดยแก้ไขโครงสร้างการจัดการระเบียบบริหารราชการให้มีการกระจายอำนาจกาบริหารไปสู่ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นให้ข้าราชการในระดับต่างๆสามารถตัดสินใจหรือสั่งการในเรื่องรับผิดชอบที่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติและทำให้เกิดความฉับไวมากยิ่งขึ้น
                8) ปรับปรุงให้ข้าราชการโดยเฉพาะชั้นผู้น้อย มีรายได้และสวัสดิการเพียงพอ เพื่อให้สามารถรักษาเกียรติศักดิ์ศรีของตนไว้ได้
                9) เชิดชูเกียรติของข้าราชการที่ดีเด่น
              10) พิจารณาเร่งรัดปรับปรุงระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการให้มีประสิทธิภาพและได้ผลอย่างเต็มที่

 ยังมีต่อ..

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือถวายฎีกาขององค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

                                                                                              เขียนฎีกาที่เลขที่ 465
                                                                                              ซอยสวนพลู 8 ถนนสาทรใต้
                                                                                              แขวงสาทร เขตสาทร
                                                                                              กรุงเทพฯ 10260
                                                                                              โทร.0858552290
                                                                                                  0898860868

ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ในนามปวงชนชาวไทยในรูปของสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ที่ยึดถือปฏิบัติแนวทางสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมที่ถูกต้องทรงริเริ่มไว้ดีแล้วในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่  โดยบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 7แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช รัชกาลที่ 9

ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันเป็นไปตามแบบอย่างของคำกราบบังคมทูลของคณะเจ้านายขุนนางเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2428 ถวายต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่นำโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ซึ่งกราบบังคมทูลในนามของประชาชนชาวสยามทุกคนดังความตอนหนึ่งว่า..“ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยเกล้าฯว่าเป็นอันตรายจะมาถึงกรุงสยามได้ด้วยเหตุภัยต่างๆแลซึ่งข้าพระพุทธเจ้าถือว่า ถ้ามิได้กราบบังคมทูลพระกรุณาความรู้เห็นแล้วก็เป็นการขาดความกตัญญูและน้ำพระพัฒน์  ทั้งความรักใคร่ในฝ่าละอองธุลีพระบาทและทั้งพระราชอาณาเขต  ซึ่งเป็นของข้าพระพุทธเจ้าชาวสยามทั่วกันหมด”

ความซึ่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลพระกรุณาดังต่อไปนี้ คือ

1.สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ได้สถาปนาขึ้นเมื่อเกือบ 1,000 ปีที่ผ่านมา โดยพระมหากษัตริย์ได้ทรงนำก่อตั้งชาติไทยในยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณเชื่อมต่อกับยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง   พระมหากษัตริย์ได้ทรงนำเอาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งอนัตตาสูงส่งที่สุดในโลกมาเป็นศาสนาประจำชาติ  เป็นองค์คุณเอกภาพของประเทศตลอดมา  ที่สำคัญอย่างยิ่งคือได้ทรงนำเอาหลักธรรมสำหรับผู้ปกครองที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้“ทศพิธราชธรรม 10 ประการ” ขึ้นเป็นหลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั่นคือ...ทานัง  สีลัง  ปริจจาคังอาชชวัง  มันทวัง ตัปปัง  อโกธังอวิหิญสัญจะ  ขันติญจะ อวิโรธนัง ซึ่งเป็นหลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สูงส่งที่สุดในโลก พระมหากษัตริย์ได้ทรงสถาปนาทศพิธราชธรรมขึ้นเป็น“หลักการปกครองของประเทศไทย”(Principle of Government)ทศพิธราชธรรมจึงเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศตลอดมา  พระพุทธเจ้าเกิดจากสถาบันพระมหากษัตริย์ศากยวงศ์ในชมภูทวีปเมื่อกว่า 2,500 ปีได้ทรงค้นพบกฎเกณฑ์สูงสุดหรือทรงปฏิวัติความคิดจิตใจอันเป็นการปฏิวัติสูงสุดของโลกความคิดจิตวิญญาณ(SpiritualWorld) ซึ่งเป็นแก่นแท้สูงสุดของมนุษยชาติ(Human Essence) คือ“อนัตตา” ซึ่งเป็นการนำทางจิตวิญญาณอันเป็นการนำอันสูงสุดและนำหลักพุทธธรรมมาสถาปนาเป็นหลักการของการเมืองการปกครองซึ่งเป็นโลกสังคม(Social World)ซึ่งเป็นการนำทางความคิดและการนำทางการเมืองและการนำทางการจัดตั้ง  ทั้งระบบสังคม(Social System) คือการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม อย่างทั่วด้าน และนำโลกธรรมชาติ(Natural World) จึงเกิดสัมพันธภาพแห่งธรรมอย่างทั่วด้านที่เรียกว่า“โมกษธรรมกำหนด”(Dhamma Determinism) ดังนี้...

- จาก..โลกความคิดจิตวิญญาณ...มาสู่...โลกสังคม...มาสู่...โลกธรรมชาติ

-จาก..การนำทางจิตวิญญาณ...มาสู่...การนำทางความคิด...มาสู่...การนำทางการเมือง...มาสู่...การนำทางการจัดตั้ง

- จาก..การเมือง...มาสู่...เศรษฐกิจ...มาสู่...วัฒนธรรม

จึงทำให้เกิด “ธรรมราชา”(Dhamma Raja) ซึ่งเหนือกว่า “ธีรราชา”(PhilosophyKing)ของประเทศตะวันตกดังนั้น จึงทำให้พระมหากษัตริย์ดีงามสูงส่งทั้งด้านสถาบัน(Institution) และด้านบุคคล(Person)  ส่วนด้านประชาชนได้เกิด..“ลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่ง” ที่ดีที่สุดในโลก คือ...

- รักความเป็นไท(Love of Independence) 

- อหิงสา(Non-violence) 

- รู้จักประสานประโยชน์(Power of Assimilation) 

ซึ่งได้ยกระดับเป็น.. “นโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ” สามารถต่อสู้เอาชนะต่อต่างชาติทุกลัทธิสากลเช่น ลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิปฏิวัติรุนแรงต่างๆ เพราะลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่งของไทยทั้ง 3ลักษณะนี้...ยังเหนือหรือสูงส่งกว่าหลักสากลนิยมของประเทศตะวันตก  สามารถทำการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรม(PeacefulRevolution)ต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรง(Violent Revolution)ได้ทุกลัทธิเช่น ลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิประชาธิปไตย  ลัทธิเผด็จการ อันเป็นการสร้างสันติภาพโลกถาวร(Lasting World Peace)นั่นคือประเทศไทยนำโลกโดยพระมหากษัตริย์และประชาชนในลักษณะ.. “มหาราชแห่งมหาชน”  สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศจะดีกว่าสถานบันอื่นเป็นประมุขของประเทศ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขคือ ทศพิธราชธรรมเป็นประมุขของประเทศนั่นเอง  ธรรมอันเป็นความถูกต้องชอบธรรม(Righteousness)ย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์และความสุขของประชาชนเสมอไป  ดังเช่นพระปฐมบรมราชโองการ...“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”ที่พัฒนามาจากอุดมคติของพระพุทธศาสนาที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย จงจาริกไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน เพื่อความสุขของมหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก”  ฉะนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นผู้ถือดุลประเทศตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งเหนือกว่าสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้ถือดุลการปกครองในขณะที่ศาลเป็นผู้ถือดุลในดุล จึงทำให้ประเทศมีดุลยภาพ(Equilibrium) เพราะผู้ถือดุลที่แท้จริงคือ “สุญญตา” ทศพิธราชธรรมคือสุญญตา หรืออนัตตา นั่นเอง   พระมหากษัตริย์จึงมีอำนาจแห่งบารมีกว้างใหญ่ไพศาลมากที่สุด(CharismaticPower) สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจึงมีอำนาจมากกว่าสถาบันอื่นเป็นประมุขเพราะมีหลักการของสถาบันฯที่สูงส่งดีงามกว่าและมีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองยาวนานกว่าต่อเนื่องมานับเป็นพันๆปี สถาบันอื่นมีอายุสั้นๆและมีหลักการที่ต่ำกว่าทศพิธราชธรรม เช่นสภาบันประธานาธิบดี สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันแห่งความยุติธรรมทางการเมืองและอยู่ในการเมือง ไม่ได้อยู่เหนือการเมือง หรืออยู่นอกการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะเป็นสถาบันที่ใช้อำนาจทางการเมืองในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head ofState) เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์(The Sovereign)และเป็นจอมทัพ(Generalissimo) เช่นเดียวกับประธานาธิบดี  สถาบันใช้อำนาจทางการเมืองย่อมอยู่ในการเมือง  ดังเช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ว่า“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล”  พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน  พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระทำผิด(King can dono wrong)เพราะมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการและทรงทำในฐานะสถาบันไม่ใช่บุคคลเพราะสถาบันย่อมถูกต้องเสมอไป สถาบันไม่ผิด

2.ในยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง(Middle Age)พระมหากษัตริย์ได้ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แบบยุคสมัยกลาง(MedievalOrder)ได้อย่างเยี่ยมยอด ได้ปฏิบัติลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพ(Expansionism)และลัทธิสร้างความเป็นเจ้า(Hegemony) ได้แผ่อำนาจแห่งกฤษฎาธิปไตย(Suzerainty)ออกไปอย่างกว้างขวางในฐานะเจ้าครองนคร(Feudal Lord)ที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ได้ ได้เอาเจ้าครองนครอื่นๆมาเป็นประเทศราช(Suzerainty State)  มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลถึง  994,600 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นเจ้าแห่งเมืองประเทศราช(Suzerain)  พระมหากษัตริย์ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรมสร้างความผาสุกให้แก่อาณาประชาราษฎร และความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติบ้านเมืองทั้งเรืองอำนาจ และเรืองธรรม  ดังที่สะท้อนสภาวการณ์ของกรุงศรีอยุธยาว่า...

“เรืองเรืองไตรรัตน์  พ้นพันแสง
รินรสพระธรรมแสดง  ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง  เสียดยอด
เย็นยิ่งแสงแก้วเก้า  ก่ำฟ้าเฝื่อนจันทร์”

ไทยเป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขายกับฝรั่งต่างชาติในภูมิภาคนี้  มีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งทรงเป็นมหาธรรมราชาและมหาธีรราชเจ้า  จนเป็นที่เลื่องลือขจรไกลไปยังประเทศตะวันตกคือ“สมเด็จพระนารายณ์มหาราช”พระเจ้ากรุงสยามที่ได้ทรงต่อสู้เอาชนะพระเจ้าหลุยส์พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการทรงมีพระปรีชาญาณอันยิ่งยวดเหนือกว่าฝรั่งต่างชาติอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงอย่างแท้จริง

พระมหากษัตริย์ได้ต่อสู้เอาชนะลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพของพม่าข้าศึก   แม้ว่าจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าข้าศึก 2 ครั้ง แต่ก็สามารถต่อสู้เอาชนะการรุกรานของลัทธิแผ่กฤษฎานุภาพของพม่าข้าศึก  กอบกู้เอากรุงศรีกลับคืนมาได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วด้วยความวีระกล้าหาญอย่างยิ่งยวด  ได้เกิดพระมหากษัตริย์ผู้นำกอบกู้ชาติที่ยิ่งใหญ่คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้นพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงต่อสู้กอบกู้เอาแผ่นดินกลับคืนมาให้อาณาประชาราษฎรพสกนิกรลูกหลานเหลนไทยได้อยู่ได้อาศัยจนกระทั่งถึงในปัจจุบันนี้

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ได้ทรงตั้งกรุงรัตนโกสินทร์สร้างกรุงเทพมหานคร สถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงปกครองตามพระราชอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งว่า...
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
ปกป้องขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
ประเทศไทยจึงมีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคง ประชาชนมีความผาสุกสืบมา

3. ภัยของลัทธิล่าอาณานิคม(Colonialism)ที่เกิดจากระบบทุนนิยมในประเทศตะวันตกควบคู่มากับลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ได้เริ่มรุกรานต่อสยามในรัชกาลที่ 3  ตามที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสไว้ว่า “ภัยข้างพม่าข้าเห็นจะไม่มีอีกต่อแล้วจะมีแต่ภัยจากประเทศตะวันตก” ได้ทรงสร้างกำลังเพื่อป้องกันประเทศตามพระราชดำรัสว่า“ทหารคือกำลังเป็นฐานของอำนาจ” และได้เริ่มต้นด้วยการที่ไทยถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญาบาวน์ริ่งพ.ศ. 2398 เกิดสิทธิสภาพนอกอาเขต(Extraterritoriality)  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ได้ทรงตระเตรียมการขนานใหญ่ในทุกๆด้านเพื่อจะต่อสู้เอาชนะลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก  โดยทรงให้ฝรั่งเข้ามาสอนพระบรมวงศานุวงศ์ เช่นแหม่มแอนนา และทรงแสดงให้ฝรั่งต่างชาติได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันยิ่งยวดทางวิทยาศาสตร์เช่น การคำนวณสุริยุปราคาได้ถูกต้องที่ตำบลหว่ากอทำให้ฝรั่งต่างชาติชื่นชมและยอมรับว่าสยามประเทศไม่ได้ป่าเถื่อน(Barbarian)ล้าหลังแต่อย่างใดทั้งสิ้น  จึงไม่มีเงื่อนไขหรือเหตุผลใดที่จะมายึดเอาไปเป็นเมืองขึ้น  อันเป็นมาตรการหนึ่งในการต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมอย่างแหลมคมชาญฉลาดยิ่ง  จนได้รับการถวายพระราชมัญญานามว่า“พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์”

4. การต่อสู้เอาชนะลัทธิล่าอาณานิคมโดยพระมหากษัตริย์ด้วยการปฏิวัติสันติ
เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2428 คณะเจ้านายและขุนนางนำโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ได้ถวายฎีกาของพระราชทานการปกครองแบบประชาธิปไตยเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยของลัทธิล่าอาณานิคม ดังต่อไปนี้...
“ความซึ่งข้าพระพุทธเจ้า จะได้กราบบังคมทูลพระกรุณาต่อไปนี้ มีอยู่สามข้อเป็นประธาน...

(1) คือ ภัยอันตรายซึ่งจะมีมาถึงกรุงสยามได้ ด้วยความปกครองของกรุงสยามดังเป็นอยู่ในปัตยุบันนี้จะเป็นไปได้ด้วยเหตุต่างๆ ดังเช่นมีตัวอย่างของชาติที่มีอำนาจใหญ่ได้ประพฤติต่อชาติซึ่งหาอำนาจป้องกันมิได้

(2) คือการที่จะรักษาบ้านเมืองให้พ้นภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปกครองของบ้านเมืองอย่างที่มีอยู่ในปัตยุบันนี้  โดยทางอยุติธรรมของศัตรูก็ดี ต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงในทางทะนุบำรุงรักษาบ้านเมืองตามทางญี่ปุ่นที่ได้เดินทางยุโรปมาแล้ว  และซึ่งประเทศทั้งปวงที่มีศิวิไลซ์ นับกันว่าเป็นทางอันเดียวที่จะรักษาบ้านเมืองได้ 

(3) ที่จะจัดการตามข้อสองให้สำเร็จได้จริงนั้น อาจเป็นไปได้อย่างเดียวแต่จะตั้งพระราชหฤทัยว่า สรรพสิ่งทั้งปวงต้องจัดให้เป็นไปโดยจริงอย่างอุกฤษฏ์  ทุกสิ่งทุกประการไม่ว่างเว้น”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับฎีกาประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้แล้ว  จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบว่า... “ที่ 15/47 วันพุธแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ปีระกาสัปตศกศักราช 1247.... ในเบื้องต้น เราขอตอบแก่ท่านทั้งปวงว่า  เราชอบใจอยู่ในการซึ่งพระบรมวงศ์ศานุวงศ์แลข้าราชการของเราได้ไปเห็นการในประเทศอื่น แล้วระลึกถึงประเทศของตน ปรารถนาที่จะป้องกันอันตราย และจะให้ความยั่งยืนมั่นคงอยู่ในอำนาจอันเป็นอิสรภาพ  ในข้อความบรรดาที่ได้กล่าวมาแล้ว  ที่เป็นตัวใจความสำคัญทุกอย่างนั้น  เรายอมรับว่าเป็นการจริงดังนั้น ยกไว้แต่ข้อเล็กน้อยบางข้อซึ่งบางทีจะเป็นการเข้าใจผิดไป  แต่หาควรที่จะยกขึ้นพูดในที่นี้ไม่ แต่เราขอแจ้งความแก่ท่านทั้งปวงให้ทราบพร้อมกันด้วยว่า  ความที่น่ากลัวอันตรายอย่างใด  ซึ่งได้กล่าวมานั้น ไม่เป็นการที่จะแลเห็นได้ขึ้นใหม่ของเราเลย  แต่เป็นการได้คิดเห็นอยู่แล้วทั้งสิ้น แลการที่ควรจะทำนุบำรุงให้เจริญอย่างไรเล่า  เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะจัดการนั้นให้สำเร็จตลอดไปได้ไม่ต้องมีความห่วงระแวงอย่างหนึ่งอย่างใดว่า เราจะเป็นผู้ขัดขวางในการซึ่งจะเสียอำนาจซึ่งเรียกว่าแอบโซลูดเป็นต้นนั้นเลย”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5ได้ทรงนำเอา.. “ลัทธิประชาธิปไตยสากล” มาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยในทุกๆด้านกำหนดขึ้นเป็น..“พระบรมราโชบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินสยาม”(นโยบายสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือ การปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติ หรือ การปฏิวัติสันติ)ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ของไทย และสอดคล้องกับเงื่อนไขทางสังคมของไทยเป็น.. “ประชาธิปไตยแบบไทย”(ThaiDemocracy) ทำการสร้างประชาธิปไตยในขั้นตอนรากฐาน(Basically)อันเป็นขั้นตอนที่  1 ได้สำเร็จ มีผลอันใหญ่หลวงสามารถรักษาเอกราชไว้ได้จากการตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นชัยชนะต่อลัทธิล่าอาณานิคม(Colonialism)อันยิ่งใหญ่ของสยามโดยร.5 จนประเทศนักล่าอาณานิคมใหญ่ของโลก คือ อังกฤษและฝรั่งเศสได้ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อสยามดังได้สะท้อนอยู่ใน.. “สนธิสัญญาลับEntente Cordiale ค.ศ. 1904” ว่า...“ทั้งสองประเทศจะไม่ผนวกเอาดินแดนของสยามไม่ว่าที่ใดๆ”(The twocontracting parties, disclaiming of all idea to annexing of any Siameseterritory)  จึงเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในสงครามล่าอาณานิคมของประเทศไทยซึ่งไม่มีประเทศใดจะมีชัยชนะได้
          

การสร้างประชาธิปไตยโดย ร.5 ในขั้นตอนที่ 1 โดยย่อมีดังต่อไปนี้...

- นำเอาลัทธิประชาธิปไตยสากล มาประยุกต์เป็น.. “พระบรมราโชบายสร้างประชาธิปไตย” ยกเลิกการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

- เปลี่ยนรัฐเจ้าครองนคร(FeudalState)..มาเป็น...รัฐแห่งชาติ(NationState) อันเป็นการก่อตั้งชาติสมัยใหม่ตามลัทธิชาติ(Nationalism)อันเป็นรัฐเอกราช รัฐสมัยใหม่ ถือเป็นมาตรการแรกของการสร้างประชาธิปไตยในทางวิชาการคือ ต้องมีชาติสมัยใหม่(Nation)เสียก่อนจึงจะมีประชาธิปไตยได้(Democracy) ไม่มีชาติก็ไม่มีประชาธิปไตย

-ยกเลิกระบบจตุสดมภ์..เปลี่ยนมาเป็น..การปกครองสมัยใหม่ 3 ระดับ คือ...

oการปกครองส่วนกลาง กระทรวง ทบวง กรม เช่นกระทรวง 12 กระทรวง

oการปกครองส่วนภูมิภาค มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบลหมู่บ้าน

oการปกครองส่วนท้องถิ่น สุขาภิบาล(ท่าฉลอม)

- ยกเลิกระบบศักดินา(Feudalism) เปลี่ยนมาเป็นระบบเสรีนิยม(Liberalism)โดย...

oเลิกระบบเจ้าศักดินา(Feudallordism)เปลี่ยนมาเป็นระบบเจ้าที่ดิน(Landlordism)เพื่อเปลี่ยนระบบเจ้าที่ดินไปเป็นการกระจายทุนสู่ประชาชนด้วยการ“ปฏิรูปที่ดิน”(Landreform)

oเปลี่ยนระบบสิทธิในที่ดิน(อยู่อาศัยทำกิน)...มาเป็น..ระบบกรรมสิทธิ์เอกชน(PrivateOwnership)ให้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน ซื้อขายจำนองหรือเช่าได้

oเลิกทาส...เปลี่ยนทาส(Serf)..เปลี่ยนมาเป็น..เสรีชน(Freeman)เป็นชาวนากรรมกรต่อไป

oเปลี่ยนเจ้าศักดินา(Feudallord)..เปลี่ยนมาเป็น..เจ้าที่ดิน(Landlord)เพื่อพัฒนาเป็นนายทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ต่อไป

oให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของพระเจ้าแผ่นดินแก่ประชาชนโดยให้ประชาชนเข้าหักร้างถางพงได้อย่างเสรีและมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นให้เป็นของประชาชน เช่น สค.1 นส.3 โฉนด เพื่อให้กรรมสิทธิ์ทางเศรษฐกิจเป็นรากฐานให้เกิดสิทธิ์ของบุคคล(Right ofPerson) และอธิปไตยของปวงชน(Sovereigntyof the people)ทางการเมืองต่อไป

oก่อตั้งรัฐวิสาหกิจ..อันเป็นทำอุตสาหกรรมอันเป็นหัวใจของระบบเสรีนิยมและเป็นรากฐานประชาธิปไตยเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และเป็นหลักนำให้แก่เอกชนและเพื่อส่งเสริมแก่วิสาหกิจเอกชน และเพื่อคานวิสาหกิจเอกชนให้เกิดเสถียรภาพตลาด

oตั้งตุ๊กตาให้แก่รัฐสภาของประชาชนและรัฐบาลของประชาชนคือ “องคมนตรีสภา”(Privy Council) และคณะอภิรัฐมนตรีอันเป็นการปกครองเฉพาะกาลเพื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ประชาธิปไตย  ฯลฯ
          
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ทรงสร้างประชาธิปไตยทางความคิด เช่นชาตินิยมประชาธิปไตย(Democratic Nationalism)  ให้การศึกษาประชาธิปไตยโดยตั้งนครประชาธิปไตยจำลอง..“ดุสิตธานี” สร้างหล่อหลอมจิตสำนึกรักชาติตามลัทธิรักชาติ(Patriotism)การสร้างประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดคือการสร้างประชาธิปไตยทางความคิด  และได้ทรงสรุป.. “องค์คุณเอกภาพของประเทศไทยคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

5.สร้างประชาธิปไตยระดับสูงขั้นตอนสุดท้ายที่ถูกทำลายโดยคณะราษฎร
      

สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.7ได้ทรงนำเอาพระราชภารกิจสร้างประชาธิปไตยของ ร.5 และ ร.6 มาประยุกต์ขึ้นเป็น.. “พระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย” และได้ทรงตั้งสภาประชาชนคือ..“สภากรรมการองคมนตรี” เพื่อทำหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรับโอนอำนาจจากพระมหากษัตริย์ ดังเช่นสภาเชษฐาบุรุษ(สภาไดเอ็ต)ของพระจักรพรรดิมัตสุฮิโต้แห่งราชวงศ์เมจิของญี่ปุ่นที่ทรงสร้างประชาธิปไตยสำเร็จอย่างสันติ  และสมเด็จพระปกเกล้าทรงเตรียมร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล 12มาตราไว้แล้วเพื่อพระราชทานให้ทำหน้าที่รักษาอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย(ระบอบประชาธิปไตย)ไว้ต่อไป และทรงให้การศึกษาประชาธิปไตยแก่ประชาชนโดยการใช้.. “การปกครองท้องถิ่น” คือการออกเสียงลงคะแนนตามระบบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย นั่นคือ พ.ร.บ.เทศบาลพ.ศ....ใหญ่และกว้างขวางทั่วถึงกว่าสุขาภิบาลของ ร.5 แต่ยังไม่ทันได้ทรงทำสำเร็จ...ก็เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475ขึ้นเสียก่อน  แผนการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติอันเป็นวิธีการเดียวที่จะสร้างประชาธิปไตยสำเร็จในประเทศเอกราชเอเซียคือวิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนโดยตรง...ได้สะดุดหยุดลงตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้กว่า81 ปี เราจึงไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้สำเร็จจนกระทั่งบัดนี้
         

 คณะราษฎรซึ่งทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้า ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่กำลังสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนที่  2 ขั้นตอนสุดท้าย ต่อจาก ร.5และสร้างระบอบรัฐธรรมนูญหรืออันเป็นระบอบเผด็จการ 2 รูป คือระบอบเผด็จการรัฐประหาร และระบอบเผด็จการรัฐสภา  ดังนั้น จึงทำให้คณะราษฎรเป็นฝ่ายปฏิวัติซ้อน(Counter Revolution)หรือเป็นฝ่ายปฏิวัติผิดที่ทำลายการปฏิวัติถูกหรือเป็นฝ่ายขบวนการเผด็จการที่ล้าหลัง(Backwardness) แต่สมเด็จพระปกเกล้าเป็นฝ่ายปฏิวัติ(Revolution) หรือเป็นฝ่ายขบวนการประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า(Forwardness)  ดังผลงานเขียนที่ยิ่งใหญ่แหลมคมที่สุดในหนังสือ.. “หลักไท” ที่ชื่อว่า..“คณะราษฎรอุปสรรคความสำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย” โดยนายประเสริฐทรัพย์สุนทร จำนวนกว่า 50 ตอน ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้ต่อสู้เอาชนะต่อขบวนการเผด็จการเป็นลำดับมา สะสมชัยชนะมากขึ้นเป็นลำดับ และขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติได้นำเอาแนวทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องที่เริ่มต้นไว้โดยร.5 ร.6 ร.7 มาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน  นำไปต่อสู้ทำสงครามทางความคิดกับขบวนการเผด็จการหรือขบวนการรัฐธรรมนูญมาเป็นเวลาหลายสิบปีอย่างยืนหยัดต่อเนื่องตลอดมา  จึงทำให้ขบวนการประชาธิปไตยมีชัยชนะต่อขบวนการเผด็จการตลอดมานั่นคือ มีชัยชนะทางความคิดโดยพื้นฐานแล้ว และมีชัยชนะทางการเมืองโดยพื้นฐานแล้วและกำลังจะมีชัยชนะทางการจัดตั้งอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ นั่นเอง
6. วิธีการสร้างประชาธิปไตยของประเทศเอกราชเอเชีย 3 ประเทศ จีน ไทย ญี่ปุ่นคือ วิธีที่พระมหากษัตริย์มอบอำนาจให้ประชาชน ไม่ใช่วิธีลุกฮือขึ้นโค่นล้มเช่นประเทศตะวันตก ถ้าพระมหากษัตริย์ถูกขัดขวางไม่ให้มอบอำนาจให้ประชาชน การสร้างประชาธิปไตยในประเทศนั้นก็จะไม่บรรลุความสำเร็จเลยอย่างสิ้นเชิง

ประเทศจีน  พระเจ้ากวางสูถูกลอบปลงพระชนม์โดยซูสีไทยเฮา เพื่อขัดขวางไม่ให้พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชน สร้างประชาธิปไตย จึงถูกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ลงเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ(
Republic)โดยพรรคก๊กมินตั๋งที่นำโดย ดร.ซุนยัดเซ็น และกำลังจะสร้างประชาธิปไตย  แต่ดร.ซุนยัดเซ็น ได้แก่อสัญกรรม แต่ก่อนจะถึงแก่อสัญกรรมได้มอบพินัยกรรมไว้ว่า..“การปฏิวัติยังไม่แล้วเสร็จ สหายทั้งหลายจงพยายามต่อไป” (เก๊อะมิ่ง ช่างเว่ยเฉิงกง ถ่งจื๊อย่งซูหนู่ลิ) แต่ผู้นำพรรคคนต่อมา คือ จอมพลเจียงไคเช็ค ได้ละทิ้งการปฏิวัติ ไม่ปฏิบัติพินัยกรรม กลับไปเป็นเผด็จการอย่างสุดขีด เป็นเงื่อนไขให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน(พคจ)ได้ใช้เป็นเงื่อนไขเข้าทำแนวร่วมและต่อสู้เอาชนะเผด็จการเจียงไคเช็คในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นไปตามหลักยุทธศาสตร์ของยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่คือ..“เผด็จการ..แพ้..คอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์..แพ้..ประชาธิปไตย”

ประเทศญี่ปุ่น ขบวนการประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น  โดยสะมุไลหนุ่มได้เข้าต่อสู้เอาชนะ..“ระบอบโชกุน” ที่ยึดกุมอำนาจจากพระจักรพรรดิจนหมดสิ้น แล้วโชกุนโตกุกาวาคนสุดท้ายได้ยอมเอาอำนาจอธิปไตยถวายคืนแด่พระจักรพรรดิมัตสุฮิโตแห่งราชวงศ์เมจิ  แล้วพระจักรพรรดิจึงทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนชาวญี่ปุ่น  จึงสร้างประชาธิปไตยสำเร็จทำให้ประเทศญี่ปุ่นไม่ตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งต่างชาตินักล่าอาณานิคม  ญี่ปุ่นจึงเจริญรุ่งเรืองก่อนประเทศใดๆในเอเชีย

ประเทศไทยพระมหากษัตริย์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไม่ถูกขัดขวาง ในการสร้างประชาธิปไตยขึ้นตอนแรก  จึงทรงสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนที่ 
1 สำเร็จอย่างงดงามดังกล่าวข้างต้น   แต่กลับถูกคณะราษฎรขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้ายคือพระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนผ่านสภากรรมการองคมนตรี(สภาประชาชน)ตามวิธีการสร้างประชาธิปไตยของประเทศเอกราชเอเชีย  ด้วยการทำการยึดอำนาจทำรัฐประหารรัฐบาลเฉพาะกาลของสมเด็จพระปกเกล้าที่กำลังสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้าย  จึงทำให้การสร้างประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งบัดนี้   โดยเอาความคิดลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการมาสร้างการปกครองของประเทศให้เป็นระบอบเผด็จการ2 รูป ทั้งเผด็จการทหาร และเผด็จการพลเรือน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้ทรุดโทรล้าหลังวิกฤตพินาศหายนะล่มจมและทำร้ายประชาชนให้อดอยากยากจนข้นแค้นแสนสาหัสล้มละลายขายตัวสิ้นชาติสิ้นคน   ขณะนี้เหลือแต่ระบอบเผด็จการรัฐสภา(เผด็จการพลเรือน)โดยพรรคปกครอง(Ruling Party)ของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยได้เปรียบในสังคม ที่เสื่อมสุดโทรม(Decay)สุดขีดเพราะมีอายุเก่าแก่ชราภาพถึง 81 ปี ขัดแย้งความความต้องการระบอบประชาธิปไตยของประเทศชาติและประชาชนที่มีมากว่า100 ปีแล้ว  ทั้งความขัดแย้งด้านโครงสร้างระหว่าง..“เศรษฐกิจเสรีนิยมอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าเป็นพลวัตร(Dynamic)..VS..การเมืองเก่าที่ล้าหลังเป็นอุปสรรค(Static)”  และความขัดแย้งด้านการปกครองระหว่าง..“ประชาชนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย..กับ..ผู้ปกครองที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้”ทำให้เกิดความขัดในขบวนการเผด็จการทวีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงที่สุด  จนไม่อาจจะทำการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อย ผิวเผินที่เป็นการปฏิรูป(Reform)ได้อีกต่อไปแล้ว จะต้องทำการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางโครงสร้าง เปลี่ยนการปกครอง เปลี่ยนระบอบที่เป็นการปฏิวัติ(Revolution) เท่านั้น จึงจะคลี่คลายความขัดแย้งลงได้อย่างสิ้นเชิง  ซึ่งเกิดเป็นปรากฏการณ์(Phenomenon) 2 ด้านที่ตรงข้ามกัน คือ...

- ด้านหนึ่งเป็นสถานการณ์วิบัติหรืออนาธิปไตย(
Anarchy)พังทลายระบอบเก่าด้านผู้ปกครองในขบวนการเผด็จการถ้าใครยืนอยู่ฝ่ายเผด็จการก็จะพ่ายแพ้พังทลายไป

- ด้านหนึ่งเป็นสถานการณ์ปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลง(
Revolution)ก่อกำเนิดระบอบใหม่ด้านประชาชนในขบวนการประชาธิปไตยถ้าใครยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะมีชัยชนะดำรงอยู่ได้
ดังนั้น โดยสรุป...การยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์โดยคณะราษฎรจึงมีผลเสียหายร้ายแรงอันเกิดจากระบอบเผด็จการ ที่มีระบอบเผด็จการยังอยู่เพราะสร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จเพราะการยึดหรือทำลายอำนาจพระมหากษัตริย์ นั่นเอง



7. การลิดรอน ทำลาย ยึดกุม จำกัดตัด อำนาจพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) องค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign) และจอมทัพไทย(Generalissimo)  ด้วยทฤษฎีผิดที่ว่า..."พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง อยู่นอกการเมืองพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง” ทำให้ประเทศไทยเสียดุลยภาพ(Equilibrium) ทำให้เกิดมิคสัญญีกลียุค ทำเกิดวิกฤตจลาจลนองเลือด ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง  ทำให้นำประเทศชาติออกจากวิกฤติไม่ได้  ทำให้สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จ เช่นปัจจุบันนี้  ทำให้ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ถูกทำลาย

ประมุขแห่งรัฐ หรือประมุขของประเทศ(Head of State)ย่อมมีอำนาจของประมุขของประเทศ ไม่ว่าจะพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือประธานาธิบดีเป็นประมุข   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง“ประมุขที่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องมีอำนาจมากกว่าประธานาธิบดี..เพราะพระมหากษัตริย์มีอายุยืนยาวที่สุดและมีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองตลอดมากยาวนาน และเป็นสถาบันที่ก่อตั้งชาติบ้านเมือง และมีหลักการของสถาบันที่สูงส่งดีงามกว่าเช่นทศพิธราชธรรม...แต่ประธานาธิบดีมีอายุเพียง 4 ปี หรือ 8 ปี เท่านั้น และมีหลักการของสถาบันที่ต่ำกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จึงรับผิดชอบชาติบ้านเมืองได้น้อยกว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์เท่ากับสถาบันพระมหากษัตริย์”

อำนาจประมุขของประเทศ...คือ...

- แต่งตั้งและถอดถอนประมุขทางการปกครอง เช่น ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรีประธานศาลฎีกา ฯลฯ  อย่างปราศจากเงื่อนไข  รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดจะจำกัดตัดอำนาจมิได้

- รักษาความมั่นคงของรัฐ และรักษาความปลอดภัยของประชาชน  โดยการใช้.. “กฎหมายสูงสุด”(Supreme Law) นั่นคือ “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด”  ดังเช่น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้กฎหมายสูงสุดเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องไว้แล้วในอดีต ในการตราพระราชกฤษฎีกาปิดสภาและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราที่ขัดต่อพระราชกฤษฎีกานั้น

- ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย เช่น ตราพระราชกฤษฎีกา ฯลฯ

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)อยู่ในตัวในประเทศเทศที่เป็นราชอาณาจักรหรือมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ดังเช่น คำรับรองของกฎหมายระหว่างประเทศ(International Law) ที่ว่า...
“Inevery monarchy the monarch appears as the representative of the sovereignty ofthe state, and thereby becomes a sovereign himself:  and this fact is recognized by InternationalLaw.  The difference between theMunicipal Law of the various states regarding this point is of noimportance.  Consequently, InternationalLaw recognises all monarchs ad equally sovereign, although the differencesbetween the constitutional position of monarchs may be considerable, if lookupon the light of the rules laid down by the constitutional law of thedifferent states.” (จาก...หนังสือ INTERNATIONAL LAW (A TREATISE) Vol. I. – PEACE byL. OPPENHEIM  EIGHTH EDITION EDITED BY H.LAUTERPACHT, Q.C., LL.D., F.B.A. 1958  )  

แปลว่า... “ในทุกๆ ระบบพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้แทนแห่งอธิปไตยแห่งรัฐ  ฉะนั้น จึงทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ในตัวเอง และข้อเท็จจริงนี้ได้รับการรับรองโดยกฎหมายระหว่างประเทศ  ความแตกต่างระหว่างกฎหมายท้องถิ่นแต่ละรัฐที่เกี่ยวข้องกับจุดนี้ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด  โดยปกติแล้ว กฎหมายระหว่างประเทศ  จะให้การรับรองต่อพระมหากษัตริย์ว่ามีอธิปไตยเท่าเทียมกัน  แม้ว่าจะมีสถานะตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ทางรัฐธรรมนูญอาจจะนำเอามาพิจารณาด้วยก็ตาม  ถ้าเราดูในด้านน้ำหนักของกฎเกณฑ์ของกฎหมายรัฐธรรมที่บัญญัติโดยรัฐที่แตกต่างกัน”

อำนาจขององค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)ของพระมหากษัตริย์ย่อมมีอำนาจในการใช้อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม(Righteousness) เช่น เดียวกันรัฐบาล รัฐสภา และศาล

พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพไทย(Generalissimo) มีอำนาจเหนือกองทัพแห่งชาติ  ดังนั้น เมื่อกองทัพเป็น.. “กลไกเอกแห่งรัฐ”(Principle StateMachine) มีหน้าที่รักษาเอกราช และอธิปไตยและรักษาความมั่นคงแห่งรัฐและรักษาความมั่นคงแห่งชาติ   พระมหากษัตริย์จึงมีอำนาจแห่งกองทัพแห่งชาติในการดำเนินการตามภารกิจและหน้าที่อันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์

พระบารมีอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์(Charismatic Power)เป็นอำนาจพิเศษที่มีอำนาจมากที่สุดทางสังคม และเมื่อมีอำนาจแห่งบารมีเต็มที่แล้วจะมีอำนาจมากกว่าอำนาจรัฐอย่างเป็นไปเอง  เพราะบารมีนั้นเกิดจากทั้งพระเดชและพระคุณที่ขึ้นอยู่กับความรักความศรัทธาเป็นสำคัญ

ระบอบเผด็จการรัฐสภา จะพยายามยึดกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็จขาดเพื่อใช้อำนาจเผด็จการได้อย่างเต็มที่ จึงได้พยายามอย่างสุดกำลังที่จะยึดกุม ลิดรอน จำกัดตัดอำนาจในฐานประมุขในฐานะรัฎฐาธิปัตย์ ในฐานะจอมทัพไทย และอำนาจแห่งบารมีของพระมหากษัตริย์ด้วยการสร้างความเห็นผิด สร้างความคิดผิดว่า “พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองอยู่นอกการเมือง ไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นกลางทางการเมือง” และใช้นโยบายและใช้กฎหมายยึดกุม ลิดรอน จำกัดตัดอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะดังกล่าวนี้ให้มากที่สุด

ขบวนการคอมมิวนิสต์ไทย ก็ได้พยายามอย่างสุดขีดที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกๆ ฐานะไม่ว่าฐานะประมุขแห่งรัฐ หรือองค์รัฎฐาธิปัตย์ หรือจอมทัพไทยหรืออำนาจแห่งบารมี  เพื่อทำลายประเทศไทยให้สูญเสียดุลภาพ  ทำให้รัฐอ่อนแอลง  และล่มสลายพังไปในที่สุดเพื่อที่คอมมิวนิสต์จะได้เข้ายึดประเทศเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ต่อไป เช่นมีการเป็นรัฐไทยใหม่ หรือ สปป.ล้านนา เป็นต้น

ดังนั้น พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State)ก็มีอำนาจของประมุขอยู่เหมือนกับประธานาธิบดี  พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)ก็มีอำนาจขององค์รัฎฐาธิปัตย์เหมือนสากลทั่วโลกอยู่แล้ว  พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพไทย(Generalissimo)ก็มีอำนาจของจอมทัพเช่นเดียวกับประธานาธิบดีทั่วโลกอยู่แล้ว  พระมหากษัตริย์สามารถทรงใช้อำนาจทั้ง 3 นี้ได้อย่างถูกต้องทั้งทางการเมือง ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย(ทั้งกฎหมายแห่งชาติและกฎหมายระหว่างชาติ) และถูกต้องทั้งทางสังคมวัฒนธรรมศีลธรรมอันดี เพราะใช้เพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของประชาชนทุกคนและเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐและความมั่นคงของชาติอยู่แล้ว   โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรา 1มาตรา 2 และมาตรา 3 อันเป็นบทบัญญัติหลักอันเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญที่สูงสุด  ส่วนบทบัญญัติอื่นๆ ที่ขัดหรือแย้งต่อทั้ง 3 มาตราก็เป็นโมฆะ หรือไม่มีผลบังคับใช้ หรือระงับการใช้ได้  โดยอาศัยกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) และกฎหมายหลัก(Principle Law) คือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 1, 2, 3 อันเป็นเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญสูงสุดนั่นเอง

8. การยึดอำนาจ หรือการบั่นทอนลิดรอน จำกัดตัด อำนาจของประมหากษัตริย์ ทั้ง 2 ช่วงประวัติศาสตร์นั้น ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติต่อประชาชนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น...

- การยึดอำนาจพระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 

- การบันทอนลิดรอน การยึด การจำกัดตัดอำนาจ ในฐานะประมุขแห่งรัฐ  ในฐานะองค์รัฎฐาธิปัตย์ ในฐานะจอมทัพไทยในทางการเมืองการปกครอง หลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ดังนั้น เพื่อบรรลุความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและแก้ปัญหาประชาชนทุกคนในประเทศโดยเร็วที่สุดและสันติที่สุดและเป็นการปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรมครั้งแรกของโลก จะมีผลให้เกิด“มนุษย์ปฏิวัติ”(Human  Revolution) นำโลกและมนุษยชาติเข้าสู่สันติภาพโลกถาวร

8.1 ให้ผู้ปกครองในระบอบเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหาร...ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกอำนาจที่ไปยึดแย่งมาจากพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่24 มิถุนายน 2475…ถวายคืนอำนาจอธิปไตยแด่พระมหากษัตริย์ เพื่อทรงมอบอำนาจแก่ปวงชนชาวไทยสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ ตามวิธีการสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องของประเทศเอกราชเอเชีย3 ประเทศดังกล่าว โดยผู้ปกครองระบอบเผด็จการทั้ง 2 รูป 2 พรรค 2 ขั้ว 2 ม็อบ ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ถวายคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จต่อไป  เท่ากับว่า “ผู้ปกครองทั้ง2 รูป 2 พรรค 2 ขั้ว 2ม็อบ...ได้ร่วมกันสร้างประชาธิปไตยด้วยความยินยอมสมัครใจอย่างมีเกียรติมีศักดิ์น่าชื่นชมยกย่องเป็นอย่างที่สุด  ไม่ถูก่นด่าสาปแช่งว่าเป็น “ทรราชย์”อีกต่อไป  แต่จะได้รับการยกย่องจากประชาชนให้เป็นผู้นำของประชาชนหรือเป็นรัฐบุรุษของประชาชนต่อไป หยุดการดื้อรั้นดึงดันจะรักษาอำนาจไว้ในกำมือของต้นเองด้วยการเลือกตั้งแบบเผด็จการ รัฐประหารแบบเผด็จการ การปฏิรูปแบบปฏิกิริยาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอีกต่อไป  นั่นคือ หยุดต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน  หันมายึดถือปฏิบัติพระราชดำรัส.. “รู้รักสามัคคี”สร้างประชาธิปไตยอย่างสันติอหิงสาพุทธให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดต่อไป

8.2  ถ้าผู้ปกครองของระบอบเผด็จการ 2 รูป 2 ขั้ว 2 พรรค 2 ม็อบ...ไม่ยินยอมยังดื้อรั้นไม่ยอมร่วมกันถวายคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนทุกคนแล้ว....พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) องค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)  จอมทัพไทย(Generalissimo) ศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติหรืออำนาจแห่งบารมี(Charismatic Power)...ทรงตราพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจสู่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตยรักษาความมั่นคงของชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยต่อไป ให้มีองค์คุณเอกภาพใหม่ของประเทศไทย 5 ประการ คือ “ชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและเพื่อความเจริญมั่นคงของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนทุกสืบต่อไปชั่วกาลนาน

9. ถ้ามาตรการแก้ปัญหาชาติและประชาชนในข้อ 8ยังไม่อาจจะดำเนินการได้ให้ทันต่อสถานการณ์...จะขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งชาติ...จงผนึกกำลังกายประสานพลังใจกันอันเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว...ร่วมกันลงมือเคลื่อนไหวผลักดันอย่างสันติและถูกกฎหมาย...เพื่อให้ผู้ปกครองในระบอบเผด็จการทั้ง2 รูป 2 ขั้ว 2 พรรค 2 ม็อบ...ได้ปฏิบัติการถวายคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย โดยเร็วที่สุดต่อไป...โดยใช้มาตรการเอกภาพของ 2 ด้าน คือ... “ชุมนุมใหญ่มวลชน...ประสานกับ...การหยุดงานทั่วไป”
เมื่อประชาชนได้ร่วมกันลงมือปฏิบัติมาตรการผลักดันครบทั้ง 2 ดังกล่าวแล้ว...ก็มีพลังอำนาจสูงสุด..สามารถผลักดันได้สำเร็จอย่างแน่นอน   และร่วมกันก่อตั้งสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติและรัฐบาลเฉพาะกาลให้บรรลุความสำเร็จไปพร้อมๆกันตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย(Democratic Dual Power) ตามแบบอย่างขององคมนตรีสภา(Privy Council)ของ ร.5 และสภาดุสิตธานี(Dusitthani Council)ของ ร.6  สภากรรมการองคมนตรีของ ร.7(ProvisionalPeople Council)และสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ(สภาปฏิวัติแห่งชาติ)ที่ศาลสถิตยุติธรรมได้รับรองแล้วไม่ผิดกฎหมายเมื่อพ.ศ. 2537

หมายเหตุ...ส่วนการถวายฏีกาที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่มีความปรารถนาดีและประสงค์ดียิ่งต่อชาติบ้านเมือง...ที่จะเดินทางไปถวายคืนอำนาจของตนเองให้แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังไกลกังวลนั้น...ขอเชิญมาร่วมกันดำเนินการและผลักดันให้บรรลุความสำเร็จตามฏีกาที่ถูกต้องอย่างครบถ้วนรอบด้านทั้ง9 ข้อข้างต้นนี้ให้บรรลุความสำเร็จโดยเร็วที่สุด  แต่การจะเดินทางไปถวายฎีกาที่พระราชวังไกลกังวลนั้น  อาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีและทำร้ายให้เสียหายและบาดเจ็บล้มตายได้ เพราะการถวายฎีกาด้วยการเอาอำนาจอธิปไตยของตนเองไปคืนแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น  แม้จะเป็นเจตนาดีที่สุดและบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง  แต่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วนรอบด้านอย่างแท้จริง  จะถูกโจมตีดังต่อไปนี้...

- เป็นการระคายเคืองและรบกวนเบื้องยุคลบาทถึงพระราชวังไกลกังวล  ไม่บังควร 

- เป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะจะเอาอำนาจของประชาชนไปคืนให้แก่พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นการย้อนกลับจากประชาธิปไตย..ไปสู่..สมบูรณาญาสิทธิราชย์  ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องถูกโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ว่าต้องการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแต่พระองค์เดียว(โดยแท้จริงพระองค์ไม่ต้องการอยู่แล้ว พระองค์ต้องการจะมอบให้ประชาชนอยู่แล้ว)

- จะเข้าทางเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดที่หลอกว่า“ระบอบเผด็จการรัฐสภา..คือ..ระบอบประชาธิปไตย” หรือ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแล้ว...แต่แท้จริงแล้วอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยอยู่”อันเป็นการช่วยรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือช่วยรักษาอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยทุนผูกขาดโดยไม่รู้ตัวหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 

- จะเข้าทางของพวกคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์  ทำแนวร่วมเข้าโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบเผด็จการรูปเก่าแก่ที่สุด  และเมื่อยืนยันว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยแล้วเพราะจะเอาอำนาจไปคืนพระมหากษัตริย์ และเท่ากับยืนยันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว....คอมมิวนิสต์ก็จะหลอกประชาชนว่า...”เมื่อเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วแก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ได้...ไปร่วมกันสร้างระบอบคอมมิวนิสต์ดีกว่าจึงจะแก้ปัญหาประชาชนได้”เป็นต้น

- ประชาชนไม่เคยมีอำนาจอธิปไตย...แล้วจะเอาอำนาจที่ไหนไปคืนพระมหากษัตริย์...???

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายกราบบังคมทูลพระกรุณามาทั้งนี้จะผิดชอบประการพระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ  ขอพระบารมีปกเกล้าฯเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ
ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณา
มา ณ วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2557

ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

(นายคงฤทธิ์ สีหานาถ)
รักษาการณ์ประธานกรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ

(นายสมาน ศรีงาม)
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ

ปล. ได้แนบเอกสารสรุปผลการประชุมขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติครั้งที่ 1 ณ โรงแรมจอมสุรางค์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา วันที่ 1 พฤษภาคม 2557


วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฎีกาถวายคืนพระราชอำนาจเมื่อปี ๓ มีนาคม ๒๕๔๙ ตอนที่ ๓

ฎีกาถวายคืนพระราชอำนาจเมื่อปี ๓ มีนาคม ๒๕๔๙ ตอนที่ ๓


๖.     วัฒนธรรม

๖.๑ กำจัดวัฒนธรรมต่ำทรามที่แพร่หลายมาจากต่างประเทศและรับวัฒนธรรม
ต่างประเทศโดยกลั่นกรอง
                                                
วัฒนธรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของระบบสังคมและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ประกอบสำคัญอีกสองประการ คือ เศรษฐกิจและการเมืองฉะนั้น การแก้ปัญหาวัฒนธรรมจึงต้องประสานกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองเศรษฐกิจซึ่งระบบผูกขาดของเอกชนครอบงำการครองชีพของประชาชนและการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย นอกจากจะบั่นทอนวัฒนธรรมอันดีงามแล้วยังเป็นรองรับวัฒนธรรมต่ำทรามที่แพร่มาจากต่างประเทศอีกด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจระบบสังคมนิยมที่ก้าวหน้า และพัฒนาการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงคือมาตรการพื้นฐานในการป้องกันและกำจัดวัฒนธรรมต่ำทรามต่างๆทั้งที่เกิดขึ้นภายในประเทศและที่แพร่มาจากต่างประเทศในขณะเดียวกันก็ใช้มาตรการทางกฎหมายและทางการศึกษาอบรมควบคู่กันไปด้วยวัฒนธรรมต่ำทรามนั้นไม่เป็นสิ่งพึงประสงค์ไม่ว่าของประเทศใดๆแต่วัฒนธรรมที่ดีของแต่ละชาติก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับซึ่งกันและกันได้เสมอไปวัฒนธรรมชาติหนึ่งถือว่าดี อีกชาติหนึ่งอาจถือว่าไม่ดีก็ได้ เช่นประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงซึ่งชาติหนึ่งถือว่าดีงามแต่อีกชาติหนึ่งถือว่าเป็นการอนาจารไปก็มี ฉะนั้น การรับวัฒนธรรมจากต่างชาติจึงต้องคัดเลือกกลั่นกรองเอาแต่เฉพาะไม่ขัดกับวัฒนธรรมไทยแม้ว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นจะไม่ใช่วัฒนธรรมต่ำทรามก็ตาม
                                

๖.๒เชิดชูวัฒนธรรมไทยอันสูงส่งมาแต่บรรพกาล
                                                
ภูมิแห่งจิตของคนในชาติซึ่งแสดงออกทางขนบธรรมเนียมประเพณีศิลปะ วรรณคดี และความสัมพันธ์กับต่างชาติ เป็นต้นนั้น สูงส่งอย่างยิ่งซึ่งจะต้องรักษาและเชิดชูไว้ตลอดไป วัฒนธรรมอันสูงส่งก็คือวัฒนธรรมของประชาชนถ้าไม่มีประชาธิปไตย วัฒนธรรมของประชาชนก็จะไม่สามารถพัฒนาอย่างเต็มที่ได้การปกครองประเทศไทยมีลักษณะประชาธิปไตยมาแต่บรรพกาล นี่คือปัจจัยสำคัญให้วัฒนธรรมของประชาชนเชื้อชาติเหล่านั้นได้พัฒนาไปอย่างเต็มที่แม้ว่าวัฒนธรรมของชนเชื้อชาติอื่นจะแตกต่างกับวัฒนธรรมของชนชาติเชื้อไทยก็ตามแต่เมื่อเป็นวัฒนธรรมของประชาชนก็ย่อมเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามทั้งสิ้น ฉะนั้นการให้เสรีภาพทางวัฒนธรรมจึงมีผลดีโดยเฉพาะคือผลดีในการกระชับความสามัคคีแห่งชาติ
                                
๖.๓พัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองบนรากฐานของการส่งเสริมทรรศนะที่ถือว่าการเมืองคือคุณธรรมตามคตินิยมของคนไทยแต่โบราณ โดยลักษณะการเมืองคือคุณธรรมเพราะมีความมุ่งหมายเพื่อความสุขของประชาชน ความจริงข้อนี้คนไทยได้ถือเป็นคตินิยมมาแต่โบราณเช่น ทศพิธราชธรรม เป็นต้น ในบรรดาระบอบการปกครองทั้งหลายระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มีคุณธรรมสูงสุดเพราะระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นประชาธิปไตยก็คือ “ธรรมาธิปไตย” นั่นเอง ดังนั้น จึงไม่มีการเมืองใดจะมีคุณธรรมสูงส่งเสมอด้วยประชาธิปไตยและดังนั้นถ้าจะเป็นประชาธิปไตยก็จำเป็นจะต้องขจัดทรรศนะที่เห็นการเมืองเป็นของสกปรกและกลับไปสู่ทรรศนะเดิม คือ การเมืองเป็นคุณธรรมต่อไปและบนรากฐานของทรรศนะที่ถูกต้องนี้ ความอดทนต่อความเห็นที่ตรงกันข้ามของตนความมีวินัย ความยอมรับเสียงข้างมากความยืนหยัดในหลักการที่ถูกต้องแม้ว่าจะเป็นฝ่ายข้างน้อย ความใจกว้างความยอมแพ้ต่อเหตุผล ความเคารพในหลักวิชา ความอุทิศตนเพื่อชาติ เพื่อประชาชนและเพื่อคุณธรรม เป็นต้น ให้มีทรรศนะที่เห็นการเมืองเป็นคุณธรรมและให้สมบูรณ์ด้วยวัฒนธรรมทางการเมืองอย่างมากที่สุด
                                
๖.๔ส่งเสริมความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติไทยรวมทั้งศาสนาอื่นๆ ในประเทศไทย
                                                
พระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบอันสำคัญที่สุดของวัฒนธรรมไทยเพราะหลักธรรมของพระพุทธศาสนาสอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับลักษณะพิเศษประจำชาติไทย โดยเฉพาะคือ อหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของคนไทยและหลักธรรมอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา คือ อหิงสา ปรโม ธัมโม(ความไม่เบียดเบียนเป็นธรรมอย่างยิ่ง) ด้วยเหตุนี้คนไทยซึ่งรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจึงเข้ากับศาสนาอื่นได้เป็นอย่างดีในประวัติศาสตร์ของชาติไทยไม่เคยมีการเลือกปฏิบัติต่อศาสนาอื่นและไม่เคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางศาสนาการที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการนับถือพุทธศาสนาของคนไทยนั้นโดยพื้นฐานเป็นการนับถือหลักธรรมอันแท้จริง หลักธรรมอันแท้จริงนี่เองคือความบริสุทธิ์ผุดผ่องของศาสนาซึ่งควรเน้นหนักในการส่งเสริมโดยร่วมมือกับบรรดานักปฏิวัติที่ถูกต้อง
                                                
เหล่านี้คือ นโยบายหลักแห่งชาติ ที่มีปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปฏิบัตินโยบายนี้ให้เป็นผลสำเร็จโดยถือเป็นภารกิจอันสำคัญที่สุดนำประเทศชาติและประชาชนให้ผ่านพ้นภัยพิบัติผลักดันความเจริญก้าวหน้าไปสู่สังคมประชาธิปไตยยังความไพบูลย์แก่ประเทศชาติและความผาสุกแก่ประชาชนและรักษาชาติไทยให้ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร

นโยบายแห่งชาติเร่งด่วนเฉพาะหน้า

๑.     ต่อต้านการรุกรานของต่างชาติทั้งทางด้านดินแดนและทางด้านเศรษฐกิจ เช่นกรณีชายแดนและกรณีแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยยกเลิกกฎหมายและแก้ไขข้อตกลงกับต่างชาติที่ไทยเสียเปรียบ เช่น กฎหมายขายชาติ ๑๑ฉบับ และข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)

๒.   ยกเลิกการกดขี่ข่มเหงประชาชนโดยเจ้าหน้าที่ในทุกกรณีทันที

๓.    ตรึงและพยุงราคาสินค้าโดยใช้รัฐวิสาหกิจที่ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ เป็นเครื่องมือสำคัญและให้พรรคการเมืองและองค์การมวลชนร่วมดำเนินการด้วย

๔.    ประกันราคาผลิตผลเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพให้ผลประโยชน์ตกแก่ชาวนาชาวไร่อย่างทั่วถึง โดยให้พรรคการเมืองและองค์การมวลชนร่วมดำเนินการด้วย

๕.    ส่งเสริมการจัดตั้งองค์การชาวนาชาวไร่ให้องค์การชาวนาชาวไร่ส่งตัวแทนเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดนโยบายต่างๆ ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเกษตรกรรมรวมทั้งปัญหาการปฏิรูปที่ดิน

๖.     ให้ผู้แทนพนักงานรัฐวิสาหกิจโดยทางองค์การของผู้ใช้แรงงานที่แท้จริงเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดนโยบายและมาตรการในการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าวิสาหกิจเอกชน

๗.    ออกกฎหมายประกันสังคมตามมาตรฐานสากลของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการหางานและส่งคนงานไปต่างประเทศ

๘.    แก้ไขสาธารณูปโภคให้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง

๙.     ปราบอาชญากรรมและคอร์รัปชั่น และรักษาความปลอดภัยของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพโดยให้พรรคการเมืองและองค์การมวลชนร่วมมือดำเนินการด้วย

๑๐.  ปรับปรุงระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตยโดยใช้มาตรการประสานกลไกรัฐกับกลไกพรรคเป็นเครื่องมือสำคัญ

๑๑. ยกเลิกพ.ร.บ. พรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้งให้พรรคการเมืองพัฒนาตามธรรมชาติมิใช่โดยกฎหมายบังคับ

๑๒.  เมื่อสมาชิกวุฒิสภาพ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือด้วยเหตุผลอื่นให้ตั้งสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างลงตามสาขาอาชีพอย่างยุติธรรม

๑๓.  ยกเลิกคณะกรรมการการเลือกตั้งสภาการเลือกตั้งแห่งชาติ ประกอบด้วยส่วนราชการ พรรคการเมือง และองค์การมวลชนทำหน้าที่ดำเนินการเลือกตั้งทั้งการเลือกตั้งทั่วไปและการเลือกตั้งซ่อม เพื่อให้เป็นไปตามหลัก “เลือกตั้งเสรี”และ “ผู้มีสิทธิหนึ่งคนเลือกผู้แทนคนเดียว”

๑๔.  ยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ทำลายหรือบั่นทอนเสรีภาพของบุคคล

๑๕.  ตั้งคณะกรรมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญประกอบด้วยพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง องค์การมวลชน นักวิชาการ และข้าราชการทำหน้าที่แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์และเมื่อรัฐสภาลงมติเห็นชอบแล้ว ให้ประชาชนแสดงประชามติก่อนประกาศใช้ ทั้งนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า

๑๖.  รณรงค์ให้เกิดความสามัคคีทั้งความสามัคคีทางการเมืองและความสามัคคีแห่งชาติ ตามพระราชดำรัส “รู้รักสามัคคี”  
      

(๓)  การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ
รักษาการรัฐบาลได้ดำเนินการนั้นเป็นการเลือกตั้งแบบเผด็จการของการปกครองแบบเผด็จการรัฐสภา ดังนั้นจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา๒ “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย.....”สร้างความแตกความสามัคคีทางการเมืองและความสามัคคีแห่งชาติตามพระราชดำรัส “รู้รักสามัคคี”ประชาชนต่อต้านคัดค้านอย่างมากมายยิ่งทำให้เกิดปัญหาชาติทวีความรุนแรงขึ้นในชาติบ้านเมืองมุ่งไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อย เกิดจลาจลมิคสัญญีกลียุคและอาจขยายผลขึ้นสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่นำไปสู่การสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์
                
หลักนิติธรรม (Rule of Law) กำหนดไว้ว่า “ความมั่นคงแห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด” (Supreme) และกฎหมายใดขัดต่อหลักนิติธรรมย่อมเป็นโมฆะแม้กระทั่งกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลัก (Principle Law) เมื่อการเลือกตั้งแบบเผด็จการขณะนี้ทำลายความมั่นคงแห่งชาติจึงขัดต่อกฎหมายสูงสุด ย่อมเป็นความชอบด้วยกฎหมายสูงสุดและกฎหมายหลัก (รัฐธรรมนูญ)และชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะยกเลิกการเลือกตั้งแบบเผด็จการเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
                
ด้วยหลักการและเหตุผลอันชอบธรรมและถูกต้องจึงขอทรงมีพระราชวินิจฉัยยกเลิกการเลือกตั้งแบบเผด็จการเพื่อนำไปสู่การยกเลิกการปกครองแบบเผด็จการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยสร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยทรงพระราชทานพระราชกฤษฎีกาตามกฎหมายรัฐธรรมนูญพ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๒๑ “พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย”
                ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ขอถวายเป็นพระบรมราชวินิจฉัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโดยเด็ดขาดสิ้นเชิงควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพระกรุณา

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าพสกนิการชาวไทยที่ได้ร่วมลงนามมาพร้อมนี้
และร่วมลงนามถวายฎีกาเป็นเบื้องต้นในเมื่อวันที่๓ มีนาคม ๒๕๔๙