วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 11 ถึงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตอนที่ 1

จดหมายเปิดผนึก
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ 
ฉบับที่ 11/2557 (ตอนที่ 1)
เรื่อง "รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 กับ การสร้างประชาธิปไตยของ คสช."

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน.."รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557"โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ได้เกิดความสบสนทางความคิดและทางการเมืองขึ้นมาอีกปัญหาหนึ่ง คือ "ปัญหารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557"โดยแท้จริงแล้วในทางการเมืองและทางกฎหมายและทางความคิดนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ จะพาประเทศชาติไปทางทิศทางใด ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือวนเวียนอยู่ในระบอบเผด็จการรัฐสภาไม่รู้จบ หรือจะเป็นระบอบเผด็จการรัฐประหารยาวนานต่อไป

ดังนั้น องค์การนำใหม่ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ จึงขอวิเคราะห์เพื่อให้ คสช.และประชาชนทั้งประเทศได้ทราบข้อเท็จจริงความจริง และความจริงแท้ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนดังต่อไปนี้ข้อสังเกตแรกของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 ดังนี้...

๑. บทนำ คือ... อธิบายสะท้อนภาพ..."สถานการณ์ปฏิวัติ"(Revolutionary Situation).. แต่... เสนอมาตรการปฏิรูปแก้ไขปัญหา(Reform) สถานการปฏิวัติ..ขัดแย้งกับ..มาตรการปฏิรูป นี่คือความผิดพลาดเริ่มต้นที่สุดของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 ลำดับที่ 1
สรุป คือ... "สะท้อนภาพ..สถานการณ์ปฏิวัติได้ถูกต้อง...แต่กำหนดมาตรการแก้ปัญหาปฏิรูปที่ผิดพลาด"
ต้องแก้ไขให้..."การกำหนดมาตรการแก้ปัญหาให้ถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปฏิวัติของประเทศ”..คือ..ต้องผลักดันให้ คสช. แก้ไขยกระดับความคิดไปสู่ความคิดปฏิวัติ กำหนดมาตรการปฏิวัติที่ถูกต้องแทนมาตรการปฏิรูปที่ไม่สอดคล้องตรงกับสถานการณ์ปฏิวัติ...ต่อไป จึงจะเป็นการเริ่มการแก้ปัญหาที่ถูกต้องต่อไป

ตามข้อเท็จจริง(Fact)และตามภาพสะท้อนอยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 สรุปได้ดังนี้...

1. อำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจรัฐชนิดสูงสุด..ยังเป็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์ทุกประการ...แม่ว่าจะบัญญัติไว้ในมาตรา 2 ว่า.."อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย"..ก็ตาม เป็นการบัญญัติไว้เป็นธรรมเนียมเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญทุกฉบับของไทย หรือเพื่อให้ผู้ที่ยึดกุมอำนาจอธิปไตยได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญดังกล่าว

หมายเหตุ...ข้อเท็จจริง(Fact)ที่ดำรงอยู่จริง(Existence) หรือที่เป็นจริง...ที่ไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อย...และรัฐธรรมนูญได้สะท้อนภาพข้อเท็จจริง ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่...ที่มาตราต่างๆ ถึง ๑๔ มาตราเป็นอย่างน้อย คือ..
๑. มาตรา ๖
๒. มาตรา ๑๐
๓. มาตรา ๑๙
๔. มาตรา ๒๘
๕. มาตรา ๓๐
๖. มาตรา ๓๒
๗. มาตรา ๓๔
๘. มาตรา ๓๕
๙. มาตรา ๓๖
๑๐. มาตรา ๔๒
๑๑ มาตรา ๔๓
๑๒. มาตรา ๔๔
๑๓. มาตรา ๔๖
๑๔. มาตรา ๔๗
เป็นต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบัญญัติที่มีคำว่า..."และเป็นที่สุด"(Absolute) ซึ่งเป็นมาตราที่มีลักษณะเป็นรูปธรรม(Concrete)ในทางปฏิบัติที่สุด ที่มีลักษณะเป็นกฎหมายลูก(Organic Law) หรือกฎหมายประกอบรองรับจากกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลักกว้างๆ

ดังนั้น มาตรา 3 "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย" จึงถูกหักล้างหรือถูกครอบงำด้วยข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริงเป็นจริงที่สะท้อนอยู่ใน 14 มาตราหลังๆ กล่าวโดยสรุปคือ... มาตรา 3 ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง ข้อเท็จจริง สิ่งที่ดำรงอยู่จริง มาตราที่สะท้อนความเป็นจริง สะท้อนข้อเท็จจริง สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นและยังดำอยู่จริง คือ..
๑. มาตรา ๖
๒. มาตรา ๑๐
๓. มาตรา ๑๙
๔. มาตรา ๒๘
๕. มาตรา ๓๐
๖. มาตรา ๓๒
๗. มาตรา ๓๔
๘. มาตรา ๓๕
๙. มาตรา ๓๖
๑๐. มาตรา ๔๒
๑๑ มาตรา ๔๓
๑๒. มาตรา ๔๔
๑๓. มาตรา ๔๖
๑๔. มาตรา ๔๗

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า...
- พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขของรัฐ(Head of State) หรือประมุขของประเทศ
- คสช. คือ รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign) หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของ คสช.

แต่ คสช. มีลักษณะเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างเป็นไปเอง คือ มีวัตถุประสงค์จะสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ และรักษาผลประโยชน์ชาติและรักษาผลประโยชน์ประชาชนทุกคน ที่มีความประสงค์อย่างเป็นไปเองตามกฎเกณฑ์จะทำให้.. "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย" ตามมาตรา 3 ที่ใช้รัฐธรรมนูญเป็น.."นโยบาย" หรือเป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นไปได้จริงก็ต่อเมื่อ.."คสช. ใช้นโยบายสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ” ด้วยการควบคุมและกำกับให้... - คณะรัฐมนตรี - สภานิติบัญญัติ - สภาปฏิรูป - คณะกรรมาธิการฯ - องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยทั้งสิ้น - องค์กรบริหารทั้งสิ้น ตามอำนาจที่มีอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์แล้วในรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 ให้สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จเสร็จสิ้นให้จงได้ โดยจะต้องขยายเวลาการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงโดยนโยบายในอย่างทั่วด้าน...เสร็จแล้วค่อยร่างรัฐธรรมนูญมาสะท้อนภาพประชาธิปไตยที่สร้างเสร็จแล้ว...ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรต่อไป...

อย่ารีบไปปฏิรูปด้วยการร่างรัฐธรรมนูญตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ซึ่งมีช่องว่างที่สามารถยกขึ้นมาอ้างเพื่อสร้างประชาธิปไตยได้มากมายหลายช่อง และ คสช. ก็สามารถใช้อำนาจออกคำสั่ง หรือประกาศ หรือแถลงการณ์ เพื่อหยุดหรือยกเลิกหรือเลื่อนบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรไว้ก่อน แล้วลงมือสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ โดยอธิบายให้ประชาชนทราบถึงขั้นตอนการสร้างประชาธิปไตย และขั้นตอนสร้างรัฐธรรมนูญ ตามหลักวิชาการที่ถูกต้องที่ใช้กันทั่วโลกมาแล้ว ประชาชนก็จะให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ เป็นทั้งผนังทองแดงกำแพงเหล็กปกป้องภารกิจสร้างประชาธิปไตยโดย คสช. และเป็นพลังผลักดันสนับสนุนการสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จในที่สุด

จึงสรุปได้ระดับเบื้องต้นที่สุดว่า "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ตีกลับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวครั้งแรกที่ไม่ถูกต้องทำลายบั่นทอนริดรอนอำนาจของ คสช. และทำลายภารกิจการสร้างประชาธิปไตยของ คสช. และได้ คสช. ได้แก้ไขให้ถูกต้องสามารถรักษาอำนาจสูงสุดไว้กับ คสช. และเพื่อจะใช้อำนาจนี้ไปสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จต่อไป"
ขั้นตอนรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้แก้ปัญหาตกไปแล้วระดับหนึ่ง ยังเหลือการใช้อำนาจนี้ไปทำการสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จต่อไปตามที่ได้สรุปวิเคราะห์เสนอแนวทาง วิธีการ มาตรการ ดังกล่าวข้างต้นนี้ (ส่วนแนวทาง วิธีการ มาตรการต่อไป...โปรดกรุณาติดตามตอนต่อไป)

ดังนั้น จึงขอส่งจดหมายเปิดผนึก มาเพื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้โปรดพิจารณา เพื่อยืนหยัดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องต่อไปให้แล้วเสร็จ และเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนให้ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จและชัยชนะของประเทศชาติและประชาชนทุกคนต่อไป โดยเร็วที่สุดให้จงได้

ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2557
โทร. 0898860868 (นายสมาน ศรีงาม)

https://drive.google.com/file/d/0B-AD1oJplH0IeHVfa2hwMGpwV0k/edit?usp=sharing

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 11 ถึงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตอนที่ 2

จดหมายเปิดผลึก
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ 
ฉบับที่ 11/2557 (ตอนที่ 2)

เรื่อง "นโยบายสร้างประชาธิปไตย..รัฐธรรมนูญสร้างเผด็จการรัฐสภา"
เรียน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 

ขณะนี้...ลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 กำลังสร้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ที่หลอกลวงครั้งล่าสุด...เพื่อไม่สร้างประชาธิปไตยโดยนโยบายลงในแผ่นดิน คือ..สร้างประชาธิปไตยผิดขั้นตอนผิดที.."สร้างประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ..ไม่..สร้างประชาธิปไตยในแผ่นดิน" เราจะ “มีประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ..แต่..มีเผด็จการรัฐสภาในแผ่นดิน"

ในที่สุดประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษ..ก็จะพ่ายแพ้..เผด็จการรัฐสภาในแผ่นดิน รัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ก็ต้องถูกฉีกทิ้งเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาทุกฉบับ เพราะ.."รัฐธรรมนูญ..ขัดแย้งกับ..ระบอบการปกครอง" หรือ..."ภาพสะท้อน..ขัดแย้งกับ..ของจริง"(รัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อน ระบอบคือของจริง) เพราะรัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อนของระบอบ(สัจธรรม-Truth) ระบอบการปกครองคือของจริง(Reality)

ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และจะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนตลอดไป ซึ่งเป็นมรรควิธีวิทยา(Methodology) ของการสร้างรัฐธรรมนูญตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ถูกต้อง คือ...

- ขั้นตอนที่ 1...คือ....."ใช้นโนบายสร้างประชาธิปไตยลงในระบอบการปกครองของประเทศให้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วเสร็จสมบูรณ์"..ซึ่งเป็นขั้นตอนสร้างประชาธิปไตย นั่นคือต้องสร้างตัวจริง(Reality)หรือประชาธิปไตยขึ้นมาเสียก่อน เพราะนโยบาย(Policy หรือ Program, Platform)เป็นเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย

- ขั้นตอนที่ 2...คือ.."สะท้อนภาพประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นดำรงอยู่จริงๆในการปกครองประเทศแล้ว..ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญสะท้อนภาพของประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวร"..ซึ่งเป็นขั้นตอนการรักษาประชาธิปไตย นั่นคือต้องใช้รัฐธรรมนูญมาสะท้อนภาพ(Reflection หรือ Truth) ของจริงคือประชาธิปไตย เพราะรัฐธรรมนูญ(Principle Law หรือ Constitution) มีหน้าที่รักษาประชาธิปไตย ไม่มีหน้าที่สร้างประชาธิปไตยแต่อย่างใดทั้งสิ้น

หมายเหตุ...ประชาธิปไตยคือตัวจริง(Reality) เพื่อยืนให้รัฐธรรมนูญสะท้อนภาพ...แต่...รัฐธรรมนูญคือกระจกเงา(Reflection หรือ Truth) เพื่อรักษาประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไว้ต่อไป

รัฐธรรมนูญ..คือ..กฎหมาย(Law) มีหน้าที่รักษาสถานการณ์ หรือสะท้อนภาพของระบอบ(Regime) รักษาสิ่งที่เกิดขึ้นดำรงอยู่จริงไว้ต่อไปในอนาคต(จาก..รักษาสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน..ไปสู่..ให้ดำรงอยู่ต่อไปในอนาคต) แต่ถ้าสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงๆก่อน แล้วจะเอารัฐธรรมนูญมาสะท้อนภาพอะไร หรือจะเอารัฐธรรมนูญมารักษาอะไร ก็จะมีประชาธิปไตยแต่ภาพ แต่ไม่มีประชาธิปไตยตัวจริง ส่วนระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่จริง(Existence) ในประเทศ..คือ..ระบอบเผด็จการรัฐสภา(ที่เข้าใจผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย) จึงเกิดปรากฏการณ์.."รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแต่ภาพ..ขัดแย้งกับ..ระบอบเผด็จการรัฐสภาตัวจริง" ภาพก็พ่ายแพ้แก่ตัวจริง จึงเกิดปรากฏการณ์.."รัฐธรรมนูญถูกฉีกทิ้งทุกฉบับ" หรือประเทศไทยร่ำรวยรัฐธรรมนูญที่สุดในโลก แต่ยากจนประชาธิปไตยที่สุดในโลก นั่นเอง

นโยบาย..คือ..วิธีคิด(Way of Thinking) หรือขั้นตอนในการปฏิบัติ(Cause of Action) หรือนโยบายทางวิชาการ(Theoretical Program) มีหน้าที่สร้างสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือสิ่งที่ยังไม่มี ให้เกิดขึ้นหรือให้มีขึ้นจริงๆ(จาก..อนาคตที่ยังไม่มี..มาเป็น..ปัจจุบันที่มีขึ้น)
- นโยบาย..มาจาก..หลักนโยบาย
- หลักนโยบาย..มาจาก..แนวทาง
- แนวทาง..มาจาก..ทฤษฎีหรือลัทธิอันเป็นอุดมการณ์(Ideology) ที่เป็นวิธีคิดที่จะสร้างสังคมอันเป็นอุดมคติ(Ideal) เช่น ลัทธิประชาธิปไตย ลัทธิคอมมิวนิสต์ ไปสู่สังคมประชาธิปไตย หรือสังคมคอมมิวนิสต์

อนึ่ง...รัฐธรรมนูญเป็นส่วนประกอบหนึ่งของรัฐ(State)...แต่...นโยบาย
เป็นความคิดทางการเมืองที่ปกครองรัฐ อยู่เหนือรัฐ(Above State) เปลี่ยนแปลงรัฐได้
...นโยบายมาจากอุดมการณ์ของคณะผู้ปกครองรัฐ ผู้ที่ยึดกุมอำนาจรัฐสูงสุด(อำนาจอธิปไตย) ซึ่งมีลักษณะเป็น.."พรรคการเมือง"(Political Party) ทั้งพรรคตามธรรมชาติ หรือพรรคตามกฎหมาย เพราะพรรคมีหน้าที่กุมรัฐ นั่นคือ กุมอำนาจรัฐ และกุมกลไกรัฐ ดังนั้น...
- นโยบายอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
- นโยบายมาก่อนรัฐธรรมนูญ
- รัฐธรรมนูญต้องขึ้นต่อนโยบาย
- รัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามนโยบาย
- รัฐธรรมนูญคือกฎหมาย..มาจาก..รัฐที่ถูกกุมถูกขับเคลื่อนด้วยนโยบาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของผู้ปกครองหรือพรรคการเมือง
- นโยบายคือการเมือง..มาจาก..ลัทธิการเมืองที่เป็นอุดมการณ์

ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมาย คือ กฎหมายหลัก(Principle Law) ทำหน้าที่สะท้อนระบอบการปกครองของรัฐ จึงจะถูกต้อง มาทีหลังนโยบาย และสะท้อนภาพความสำเร็จของนโยบาย

แต่ถ้า รัฐธรรมนูญทำหน้าที่นโยบายหรือเป็นลัทธิการเมือง...ย่อมผิดหลักวิชาการอย่างร้ายแรง ดังเช่นที่ไทยกำลังถูกครองงำมาเป็นเวลาถึง 82 ปี เช่น...
- เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญคือเครื่องมือสร้างประชาธิปไตย(นโยบาย)
- เห็นผิดว่าลัทธิรัฐธรรมนูญคือลัทธิประชาธิปไตย
- เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญจะทำให้ชาติเจริญ
- เห็นผิดว่าองค์คุณเอกภาพของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ
- เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)
- เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญคือลัทธิอุดมการณ์ทางการเมือง
- เห็นผิดว่าระบอบรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย
- เห็นผิดว่ารัฐธรรมนูญมาก่อนประชาธิปไตย เป็นต้น

ฉะนั้น...คสช. มีเจตนาดีต่อชาติและประชาชนอย่างที่สุด แต่ไม่มีความรู้การสร้างประชาธิปไตย และยังไปรับความรู้ผิดมิจฉาทิฎฐิจากขบวนการรัฐธรรมนูญนิยมของลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการครอบงำอย่างหนาแน่นผ่านเนติบริกร ที่เป็นนักวิชาการของลัทธิรัฐธรรมนูญ(ลัทธิเผด็จการ) ของคณะราษฎร จึงเป็นไปตามโรดแม็ป(Road Map) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คือ...
- มีแต่ขั้นตอนสร้างรัฐธรรมนูญ ไม่มีขั้นสร้างประชาธิปไตย
- ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือปฏิรูปประชาธิปไตย
- ไม่มีนโยบายเป็นเครื่องมือปฏิวัติประชาธิปไตย
- ลอกแบบคณะราษฏร คือ..มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิ.ย. 2475 และมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475
- ไม่มีการทำตามแบบ ร.7 หรือนโยบาย 66/23 คือ..มีนโยบายสร้างประชาธิปไตย ก่อนที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญรักษาประชาธิปไตยต่อไป
แต่...ถ้า คสช. รู้ว่าสิ่งที่ดำเนินอยู่ไม่ถูกต้องจะนำไปสู่ความล้มเหลวดังเช่นที่ล้มเหลวซ้ำซากเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...เข้าใจแนวทาง วิธีการ มาตรการที่ถูกต้องดังเช่น ร.7 และนโยบาย 66/23 ได้กระทำสำเร็จมาแล้วในประวัติศาสตร์...คสช. ก็จะพลิกจากแพ้แก้เป็นชนะได้ หรือพลิกจากล้มเหลวมาเป็นสำเร็จ ในที่สุด...!!!
(ยังมีต่อตอนต่อไป)

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และพิจารณาแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อความสำเร็จของ คสช.ในการแก้ปัญหาชาติและประชาชน ก่อนจะสายเกินแก้

ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 26 กรกฎาคม 2557
โทร. 0898860868 (นายสมาน ศรีงาม)


https://drive.google.com/file/d/0B-AD1oJplH0IR3JBMEFicUUzQWM/edit?usp=sharing



วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 10 ถึงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

จดหมายเปิดผนึก
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ฉบับที่ 10/2557
วันที่ 18 กรกฎาคม 2557
เรื่อง ขอให้ คสช.ยกเลิกคำสั่งให้ยิ่งลักษณ์เดินทางออกประเทศด้วยเหตุผล8 ข้อ
เรียน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ด้วย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บริหารระบอบเผด็จการรัฐสภา ทำลายความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน ทุจริตคอร์รัปชั่นช่อราษฎร์บังหลวงอย่างอย่างมโหฬาร ได้เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 นั้น และต่อมา ปปช.ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กระทำการทุจริตทุกขั้นตอนในนโยบายรับจำนำข้าวจากชาวนาเสียกว่า 500,000 ล้านบาท และชาวนาผูกคอตายเป็นจำนวนมากนับสิบๆราย ตลาดข้าวไทยมีมาหลายร้อยปีทั่วโลกพังพินาศ ซึ่งผิดต่อประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และผิดต่อกฎหมาย ปปช. และผิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังมีคดีความอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมยังไม่แล้วเสร็จ และที่สำคัญยังได้ปรากฏว่ามีบุคคลที่ร่วมอยู่ในอดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้หนีออกนอกประเทศทำการเคลื่อนไหวตั้งขบวนการเสรีไทย และกำลังจะพัฒนาเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น(Government in exile) ร่วมกันต่างชาติเข้าต่อสู้ทำลายความมั่นคงของชาติและต่อสู้โค่นล้มคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อันเป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ได้เรียกร้องให้กองทัพแห่งชาติเข้าแก้ไขปัญหาชาติและประชาชน รักษาความมั่นคงของชาติและความปรอดภัยของประชาชน โดยการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา และกองทัพแห่งชาติได้จัดตั้ง.. “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” เข้ารวบคุมอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อย่างถูกกฎหมายและสันติวิธีแห่งนโยบาย 66/23 ที่เป็นนโยบายแห่งรัฐ(State Policy) ตามกฎอัยการศึก(Martial Law)และกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)อันเป็นไปตามหลักการปกครองโดยกฎหมายหรือนิติรัฐ(Rule by Law)ที่ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรม(Rule of Law)ที่ว่า.. “ความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด” ไม่ใช่การรัฐประหารที่เปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมายแต่อย่างใดทั้งสิ้น สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ได้เข้าสนับสนุนและส่งเสริมคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติตลอดมาตั้งแต่ต้น ดังเช่น จดหมายเปิดผนึกตั้งแต่ฉบับที่ 1/2557 ถึง ฉบับที่ 9/2557 ตามที่แนบมาพร้อมกันนี้
ดังนั้น สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ จึงขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินการ.. “ยกเลิกคำสั่งอนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางออกนอกประเทศโดยทันทีให้ทันต่อสถานการณ์” ดังเหตุผลทางกฎหมายและทางการเมืองต่อไปนี้
1. ได้ประจักษ์ชัดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อยว่า ผู้ร่วมคณะรัฐบาลและร่วมพรรคเพื่อไทยของนางสาวยิ่งลักษณ์ และพี่ชาย(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) และผู้ที่สนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้หนีไปเคลื่อนไหวต่อสู้ในต่างประเทศ เช่น ขบวนการเสรีไทย 2 และรัฐบาลผลัดถิ่น ดังนั้น การเดินทางออกนอกประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางไปเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองกับพรรคพวกดังกล่าวอย่างแน่นอน ไม่ใช่เดินทางไปพักผ่อนหรือท่องเที่ยวตามเหตุผลที่ยกขึ้นมาบังหน้าหลอกหลวงตบตา คสช. แต่อย่างใดทั้งสิ้น การไปครั้งนี้จึงเป็นการเมือง ไม่ใช่เป็นการพักผ่อนท่องเที่ยว ไม่ว่าจะไปแล้วกลับไทยหรือไม่กลับไทยก็ตาม.....คสช. ก็ไม่สามารถจะไปห้ามนางสาวยิ่งลักษณ์เคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่ออยู่ในต่างประเทศได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศฝรั่งเศสและอเมริกาล้วนแต่สนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ และต่อต้าน คสช. รุกรานแทรกแซงครอบงำประเทศไทย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภา ตลอดมาอยู่แล้ว
2. เดินทางไปเข้าร่วมกันต่างชาติประเทศที่ต่อต้าน คสช.และแทรกแซงครอบงำรุกรานประเทศไทย เช่น ประเทศฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ตามยุทธศาสตร์โลกปิดล้อมประเทศ อดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นหุ้นเชิดหรือเป็นสมุนของต่างชาติประเทศจักรพรรดินิยมและนักล่าเมืองขึ้นเหล่านี้อยู่ จะเข้าแผนของต่างชาติที่จะใช้นางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นตัวโจกเก้อร์(Joker)หรือเป็นหุ่นเชิด(Puppet)สำคัญเป็นเงื่อนไขรุกทางการเมือง(Political Offensive)ต่อสู้เอาชนะ คสช.และประเทศไทย ดังเช่น ดาไลลามะ ฯลฯ เพราะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นล้มโดย คสช. คนอื่นๆ ยังไม่มีเงื่อนไขหรือไม่มีเหตุผลเพียงพอ ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเจ้าตัวเองเลย ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้ารัฐบาลผลัดถิ่น หรือขบวนการเสรีไทย 2 ประเทศฝรั่งเศสเป็นต้นแบบของการปฏิวัติรุนแรงล้มล้างพระมหากษัตริย์(Great French Revolution 1789) และเป็นนักล่าอาณานิคมต่อประเทศไทยโดยเฉพาะดินแดนมณฑลบูรพา 4 จังหวัด คือ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดลานช้าง เนื้อที่ 69,029 ตารางกิโลเมตร ตามสัญญารุกรานหรือสัญญาเมืองขึ้นหรือสัญญาทาส คือ “สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 – 1907” ที่กัมพูชาได้สืบทอดมรดกเอามารุกรานยึดครองแผ่นดินไทยและปราสาทพระวิหารเช่นในปัจจุบันนี้ ทำให้ไทยพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสและต่อกัมพูชาซ้ำซากตลอดมาไม่รู้จบ อันเกิดจากกรณีฝรั่งเศสรุกรานแผ่นดินเขมรในและลาวฝั่งขวาของไทยเมื่อ ร.ศ. 112(พ.ศ. 2436) ในสมัย ร.5 และ กรณีฝรั่งเศสสมคบกับอเมริการุกรานยึดครองมณฑลบูรพา 4 จังหวัดของไทยโดย.. “ข้อตกลงวอชิงตัน”(Washington Accord) ค.ศ. 1946(พ.ศ. 2489)ในสมัยรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ที่โค่นล้มพระมหากษัตริย์และยกแผ่นดินให้ต่างชาติฝรั่งเศส และประเทศสหรัฐอเมริกาที่เข้าแทรกแซงครอบงำประเทศไทยมายาวนานที่ต้องการจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นการปกครองแบบประธานาธิบดี ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ(Head of State)…..คสช.ก็ไม่สามารถจะไปห้ามนางสาวยิ่งลักษณ์ที่อยู่ต่างประเทศไม่ให้เคลื่อนไหวการเมืองดังกล่าวได้แม้แต่น้อย และ คสช.ก็ไม่สามารถจะไปห้ามประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศอเมริกาเชิดหรือใช้นางสาวยิ่งลักษณ์มาเป็นเงื่อนไขเหตุปัจจัยเคลื่อนไหวทำลายประเทศไทย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ทำลาย คสช. และทำลายภารกิจกอบกู้เอกราชอธิปไตยให้สมบูรณ์ของไทย และทำลายการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงของไทย
3. คอมมิวนิสต์ไทยได้เข้าทำแนวร่วม 2 ระดับ ทั้งแนวร่วมแห่งชาติ(National United Front) กับแนวร่วมระหว่างประเทศ(International United Front) คือ...
3.1) คอมมิวนิสต์ทำแนวร่วมแห่งชาติ(National United Front)กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ทำการรักษาการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้...เพื่อทำให้เกิดความวิบัติหายนะล่มจมแก่ชาติและทำให้เกิดความอดอยากยากจนข้นแค้นแสนสาหัส(คับแค้นทางจิตใจ ยากไร้ทางวัตถุ) นำไปสู่การก่อม็อบ การก่อจลาจล การก่อสภาวะอนาธิปไตยไร้ขื่อแป การก่อมิคสัญญีกลียุค และเพื่อยกระดับขึ้นสู่สงครามกองโจร และสงครามกลางเมือง ไปสู่สงครามประชาชน(People s’ War)ยึดประเทศไทยในที่สุด ที่คอมมิวนิสต์ยังดำรงอยู่และเคลื่อนไหวได้เพราะเรายังไม่ชนะเด็ดขาดเบ็ดเสร็จสิ้นเชิงตามนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับสูง (ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง) คอมมิวนิสต์จึงสามารถใช้ระบอบเผด็จการรัฐสภามาเป็นแนวร่วม ให้เกิดเงื่อนไขในการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ให้บรรลุความสำเร็จต่อไป เพราะกองทัพแห่งชาติมีชัยชนะในขั้นตอนที่ 1 คือ ชนะสงคราม แต่ยังไม่มีชัยชนะในขั้นตอนที่ 2 คือ ชนะคอมมิวนิสต์ ยังเหลือแก้วอีก 2 ดวง คือ พรรคและแนวร่วมที่ทำการเคลื่อนไหวอยู่จึงมองไม่เห็นชัดเจน และเข้าใจผิดว่าคอมมิวนิสต์หมดไปแล้วเพราะไม่เห็นรูปที่ชัดเจนคือ.. “สงคราม..หรือ..กองทัพแดง” อันเป็นแก้วดวงที่ 3 “พรรค..คือ..แนวความคิด” และ “แนวร่วม..คือ..เผด็จการรัฐสภา” และ “สงคราม..คือ..กองทัพแดง”
3.2) คอมมิวนิสต์ทำแนวร่วมระหว่างชาติ(International United Front) กับประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งเป็นประเทศทุนนิยมแม่...ในรูปของ.. “ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ” ที่พัฒนามาจาก.. “ชนบทล้อมเมือง” ให้ช่วยรัฐบาล พรรค ม็อบของระบอบเผด็จการรัฐสภาที่หลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น...โดยคอมมิวนิสต์ทำแนวร่วมและขับเคลื่อนรัฐบาล พรรค ม็อบ ทำทีไปขึ้นต่อต่างชาติและให้ประโยชน์ต่างชาติอย่างจุใจ ตามชาติจึงตกเป็นเครื่องมือหรือตกเป็นแนวร่วมช่วยให้คอมมิวนิสต์ไทยมีชัยชนะต่อกองทัพแห่งชาติ และ คสช. ดังเช่นที่กำลังโดดเดี่ยว(Isolation) คสช.ออกจากประชาคมโลก และช่วยเหลืออดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วยพรรคเพื่อไทย ช่วยม็อบเสื้อแดง ทำการเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ และคอมมิวนิสต์เข้าทำแนวร่วมกับ คสช. วางแผนหลอกลวงตบตา คสช.เพื่อปล่อยนางสาวยิ่งลักษณ์ออกไปนอกประเทศไทย และทำแนวร่วมกับต่างชาติให้สนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ และเชิดใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ(International Politic) หรือเล่นการเมืองโลกทำลายประเทศไทย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ทำลาย คสช. ซึ่งก็กำลังเป็นไปตามแผนของคอมมิวนิสต์ทุกประการอยู่ในขณะนี้ โดยไม่รู้ตัว หลังจากแผนทำลาย คสช.ด้วยลัทธิรัฐธรรมนูญ โดยการทำแนวร่วมกับเนติบริกรให้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวทำลาย คสช. ตัดและบั่นทอนลิดรอนอำนาจ คสช. และขัดขวางไม่ให้ คสช.สามารถยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตยสำเร็จได้ รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ และเลือกตั้งแบบเผด็จการ เพื่อให้ระบอบเผด็จการรัฐสภากลับมาใหม่ ทำลาย คสช.ให้พังไป ดังเช่น รสช. และ คมช.ที่ถูกทำลายให้พังมาแล้วในอดีตอันเป็นการทำลายกองทัพแห่งชาติ นั่นเอง คือ “บันได 3 ขั้นในการทำลาย”..นั่นคือ “จาก...ใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวตัดอำนาจและไม่ให้มีขั้นตอนการสร้างประชาธิปไตยโดยนโยบาย...สู่...ตั้ง สนช.และ สภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสภาปฏิรูปเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร...ไปสู่...เลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภาปฏิรูป”.... แต่โชคดีที่ คสช.รู้ทันหยุดรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่เป็นแผนทำลายของคอมมิวนิสต์และเผด็จการรัฐสภาไว้ได้เสียก่อน จงไม่ตกเป็นแนวร่วมและเป็นเหยื่อเป็นเครื่องมือ และแผน 2 ของคอมมิวนิสต์และเผด็จการรัฐสภาและต่างชาติคือ... “หลอกหรือตบตา คสช.ให้ปล่อยนางสาวยิ่งลักษณ์ไปหาพรรคพวกและต่างชาติเพื่อใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นเงื่อนไขเชิดตามแผนทางการเมืองให้ฝ่ายตนได้เปรียบได้ประโยชน์ได้แสดงบทบาทต่อไป”....นี่ก็เป็น.. “เส้นยาแดงผ่าแปด” หรือ “รั้งม้าที่หน้าผา” หรือ “เตือนก่อนตาย” นั่นเอง
4. นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงแต่เป็นผู้ที่ถูกเชิดถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือของคอมมิวนิสต์ ของต่างชาติ ของเผด็จการรัฐสภา ในการทำลายชาติ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำลายกองทัพแห่งชาติ ทำลายการสร้างประชาธิปไตย รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาแล้วดังเช่นคำขวัญที่พวกคอมมิวนิสต์คิดให้คือ.. “ยอมตายค่าสนามรบประชาธิปไตย” เป็นต้น นางสาวยิ่งลักษณ์ยังต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายอย่างมหาศาลต่อชาติและต่อประชาชน ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงและคอร์รัปชั่นช่อราษฎร์บังหลวงอย่างมหาวินาศไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย คสช. จะต้อง.. “ไม่สุ่มเสี่ยง” และ “เพลี่ยงพร้ำ” และ “ต้องกุมสถานการณ์ไว้ให้ได้” หรือ “ต้องปลอดภัยไว้ก่อน” ต้องไม่ปล่อยให้จำเลยหรือคนร้ายหรือมหาโจรหนีไปได้อย่างเด็ดขาด เพราะนางสาวยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยของชาติของประชาชน ที่ คสช.จะต้องรับผิดชอบต่อชาติและต่อประชาชน ประชาชนและประเทศชาติไม่ต้องการให้ปล่อยนางสาวยิ่งลักษณ์ไป เหมือนที่ปล่อย พ.ต.ท.ทักษิณ ไปอีก ที่ไม่สามารถจับกุมตัวได้จนกระทั่งบัดนี้ และไปสร้างปัญหามากมายเลวร้ายให้แก่ชาติและให้แก่ประชาชนจน คสช.โดยกองทัพแห่งชาติจะต้องออกมาแก้ปัญหาอยู่ในขณะนี้ และถ้า คสช.ปล่อยน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ(ยิ่งลักษณ์)ให้ไปพบทักษิณและพรรคพวกสมคบคิดกันอีกในต่างประเทศที่เขาพร้อมร่วมมือกันต่อสู้กับประเทศไทย ต่อสู้กับ คสช.อยู่แล้ว ขอเพียงให้ได้ตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ไปเท่านั้น แผนการของเขาก็จะครบถ้วนสมบูรณ์เริ่มต้นขึ้นทันที ดังนั้น คสช.จะปล่อยตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะนี่เป็น... “ปัญหาของประเทศชาติและประชาชน”...ไม่ใช่.. “ปัญหาบุคคล” แต่อย่างใดทั้งสิ้น ฉะนั้น ปัญหาของ คสช.กับนางสาวยิ่งลักษณ์คือปัญหาของชาติและปัญหาของประชาชน หรือเป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง เป็นผลประโยชน์ของชาติและเป็นผลประโยชน์ของประชาชนทุกคน ซึ่งเป็นเหตุผลสูงสุดและสำคัญที่สุด ส่วนเหตุผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ไปพักผ่อนพาลูกชายไปเที่ยวหรือไปร่วมงานวันเกิดพี่ชายที่ฝรั่งเศส....นี้ไม่ใช้เหตุผลที่จะหักล้างหรือสำคัญกว่าหรือสูงกว่าเหตุผลของชาติและของประชาชน หรือเหตุผลของบ้านเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น คสช.ต้องรับผิดชองต่อชาติและประชาชน และนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ต้องรับผิดชอบต่อชาติและประชาชน เรื่องส่วนตัว หรือผลประโยชน์ส่วนตัวจะมาเหนือกว่าหรือสำคัญกว่าเรื่องชาติได้อย่างไร...??? คสช.เข้ามาก็เพื่อชาติ นางสาวยิ่งลักษณ์เข้ามาก็เพื่อชาติ ไม่มีใครเข้ามาเป็น คสช.หรือมาเป็นรัฐบาลเพื่อส่วนตัวสักคน ดังนั้น คสช.มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน รับผิดชอบสูงสุดในแผ่นดิน จะให้นางสาวยิ่งลักษณ์ไปนอกเพื่อไปร่วมกับพรรคพวกและต่างชาติเคลื่อนไหวทำลายชาติ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำผลประโยชน์ของชาติและผลประโยชน์ของประชาชนคนทั้งประเทศได้อย่างไร หรือ คสช.จะปล่อยให้นางสาวยิ่งลักษณ์หนีออกนอกประเทศ หนีความรับผิดชอบ หนีคดีความ หนีอาญาแผ่นดิน ไปได้อย่างไร เพราะข้อเท็จจริงก็เห็นเป็นประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า...
- ทักษิณ และพรรคพวกร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็หนีคดีความออกนอกประเทศจริงๆอยู่แล้ว
- ทักษิณ และพรรคพวกร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็หนีไปร่วมกันเคลื่อนไหวต่อสู้ทำลายชาติ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำลายกองทัพแห่งชาติ ทำลายการสร้างประชาธิปไตยร่วมกันต่างชาติและคอมมิวนิสต์อยู่จริงๆแล้ว
ดังนั้น คสช.จะประมาท หรือสุ่มเสี่ยงไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะมันได้เกิดข้อเท็จจริง(Fact)ให้เห็นเป็นประจักษ์พยานอยู่แล้ว ว่าเขาออกนอกประเทศไปเคลื่อนไวต่อสู้ทำลายชาติ และเขาออกนอกประเทศเพื่อหนีคดีความ หนีความรับผิดชอบ เพราะเขาเป็นพวกเดียวกัน เขาเป็นพรรคเดียวกัน และเขาเป็นพี่น้องกัน ที่สำคัญเขามีวิธีคิดมีจุดยืนอันเดียวกัน รับใช้ต่างชาติเช่นเดียวกัน
5. ไม่มีหลักประกันใดเลยที่จะรับประกันได้ว่า... “ถ้าปล่อยยิ่งลักษณ์ออกไปแล้ว...ยิ่งลักษณ์จะไม่เข้าร่วมกับพี่ชาย จะไม่เข้าร่วมกับพรรคพวก จะไม่เข้าร่วมกับต่างชาติ จะไม่เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวทางการเมืองทำลายประเทศไทย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ทำการสร้างประชาธิปไตยของไทย ทำลายเอกราชอธิปไตยไทย”....
และไม่มีหลักประกันใดเลยที่จะรับประกันได้ว่า... “ถ้าปล่อยยิ่งลักษณ์ออกไปแล้ว...ยิ่งลักษณ์จะไม่หนีคดีความ หนีความรับผิดชอง หนีอาญาแผ่นดิน เช่นเดียวกับพี่ชายและพรรคพวกของตนที่หนีให้เห็นเป็นแบบอย่างตำตาอยู่แล้ว” และเงื่อนไขเหตุปัจจัยทั้งปวงทั้งในและนอกประเทศก็เห็นอยู่ชัดเจนว่าเขาจะต้องหนีออกนอกประเทศ และเขาจะต้องไปร่วมกับพี่ชายและพรรคพวกของเขาและร่วมกับต่างชาติทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองทำลายชาติและทำลายสถาบัน ฯลฯ อย่างแน่นอนเต็ม 100% เหตุผลที่ คสช.ยกขึ้นมาประกันว่านางสาวยิ่งลักษณ์ไม่หนีคือ... “ยิ่งลักษณ์เขาเชื่อฟัง คสช.ว่านอนสอนง่าย ทำตามคำสั่งทุกอย่าง ไม่เคยละเมิดหรือขัดขืนมาก่อน...จึงเชื่อได้ว่าเขาจะไม่หนีเขาจะไม่ทำอะไรผิดเหมือนอยู่ภายใต้อำนาจของ คสช.ในประเทศ...เมื่อเขาไปอยู่ในต่างประเทศที่ไม่มีอำนาจ คสช.กดไว้อีกต่อไป...แต่กลับมีอำนาจของต่างชาติที่อยู่ตรงข้าม คสช. และมีอำนาจของพี่ชายและพรรคพวกที่อยู่ตรงข้ามและต่อสู้กับ คสช... มันเป็นคนละเงื่อนไขกันอย่างสิ้นเชิง...คสช.ก็ยังเชื่อว่านางชาวยิ่งลักษณ์จะจงรักภักดียอมศิโรราบต่อ คสช.เหมือนอยู่ในประเทศไทยอยู่ใต้อำนาจ คสช.อย่างนั้นหรือ...???” คสช.มีหลักประกันอะไร...??? เพราะไม่มีเงื่อนไขที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่หนีจะไม่สู้ คสช.เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อไม่มีเงื่อนก็ต้องมี.. “หลักประกัน” ศาลก็ยังมีหลักประกันตัว เช่น ทรัพย์สินเงินทองก่อนปล่อยตัวชั่วคราว ขนาดมีหลักประกันก็ยังหนีได้ แต่ คสช.ไม่มีหลักประกันจากนางสาวยิ่งลักษณ์เลยแม้แต่บาทเดียว แล้ว คสช.จะรับผิดชอบต่อชาติและต่อประชาชนอย่างไร ถ้านางสาวยิ่งลักษณ์หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ หรือนางสาวยิ่งลักษณ์นอกจากหนีคดีความแล้ว...ยังหนีไปร่วมต่อสู้กับทักษิณและพรรคพวกและต่างชาติและคอมมิวนิสต์ ณ ต่างประเทศที่เขาวางแผนไว้และรออยู่อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
ดังนั้น หลักประกันที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดและคุมสถานการณ์ได้ที่สุดและรักษาผลประโยชน์ของชาติและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนที่สุด...คือ... “ตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของประเทศไทย อยู่ใต้อำนาจของประชาชนไทย อยู่ใต้อำนาจของ คสช.เท่านั้น อย่างอื่นไม่มี” และยังเป็นหลักประกันว่า... “ทักษิณและพรรคพวกและต่างชาติและคอมมิวนิสต์ที่อยู่ต่างประเทศจะไม่สามารถทรยศต่อชาติและต่อประชาชนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้...เพราะมีตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นตัวประกัน” อีกด้วย
6. ก่อนหน้านั้น คสช. ไม่มีเงื่อนไขด้านกฎหมายหรือด้านกระบวนการยุติธรรมว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมีความผิดหรือมีมูลว่ามีความผิดแน่นอน ไม่มีสถาบันใดในกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินยืนยันหรือตัดสินชี้ชัดว่ามีความผิดในการทุจริตคอร์รัปชั่น คสช.โดยกองทัพแห่งชาติก็ยังยึดอำนาจมาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เลย แต่นี่ ปปช.ได้ตัดสินชี้มูลความผิดโดยมติเป็นเอกฉันท์(7-0)ว่า... “นางสาวยิ่งลักษณ์มีมูลความผิดทุจริตทุกขั้นตอนเต็ม 100% ในโครงการรับจำนำข้าว” ดังนั้น เงื่อนไขที่ปล่อยตัวนางชาวยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศนั้นยิ่งไม่มียิ่งขึ้นหรือไม่เหลือเลย เพราะ ปปช.เป็นสถาบันในกระบวนการยุติธรรม(Institution of Justice) ซึ่งเชื่อถือได้เพราะสถาบันย่อมถูกต้องเสมอไปและมีกฎหมายรองรับ “ผลการตรวจสอบและการชี้มูลความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ดังกล่าวยิ่งเป็นการรับรองย้อนหลังการเข้ายึดอำนาจของ คสช.ให้ขอบธรรมถูกต้องยิ่งขึ้น(Righteousness)” ดังนั้น จึงยิ่งเพิ่มเหตุผลที่ถูกต้องสมบูรณ์ให้แก่ คสช. ว่ามีเงื่อนไขและเหตุผลความชอบธรรมที่จะควบคุมตัวหรือห้ามไม่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นรับผิดชอบมากที่สุดหรือผู้รับผิดชอบสูงสุดในอดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีเจ้าของนโยบายรับจำนำข้าวที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ออกนอกประเทศ แม้จะอ้าง.. “หลักนิติธรรม”(Rule of Law) สำหรับสิทธิส่วนบุคคลเอกชนที่ว่า... “ผู้ต้องหาถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน...จนกว่าศาลจะตัดสินถึงที่สุดว่าผิดจึงถือว่าผิดเป็นนักโทษ” แต่หลักนิติธรรมสูงสุดคือ.. “ความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)” ซึ่งเหนือกว่าสำคัญกว่ากฎหมายว่าด้วนสิทธิ์ส่วนบุคคลเอกชน การทุจริตคอร์รัปชั่นช่อราษฎรบังหลวงในโครงการรับจำนำข้าวก่อความเสียหายร้ายแรงต่อชาติและประชาชนอย่างมากมายและกว้างขวางลึกซึ้งที่สุด กระทบต่อความมั่งคงแห่งชาติและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง ดังนั้น คสช.ในจึงมีอำนาจควบคุมตัวนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างสมบูรณ์เต็มที่ เพราะ ... “คสช...คือ..ผู้กุมรัฎฐาธิปัตย์สูงสุด” มีอำนาจเหนือกว่าทุกสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล รัฐสภา ศาล ฯลฯ ฉะนั้น คำสั่ง แถลงการณ์ ประกาศ ของ คสช. คือ กฎหมาย คือ ศาล อย่างเป็นไปเอง ถึงอย่างไรก็ตามหลักนิติธรรมได้กำหนดไว้ว่า... “กฎหมายใดถ้าขัดหรือแย้งต่อหลักนิติธรรมย่อมเป็นโมฆะ” ดังนั้น คำสั่งของ คสช.ที่เป็นตามหลักนิติธรรมย่อมเป็นกฎหมายสูงสุดและย่อมเหนือกว่ากฎหมายทั้งปวงย่อมถูกต้องสมบูรณ์ตลอดไป ส่วนคำสั่งที่ไม่ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรมก็ย่อมตกอยู่ในลักษณะไม่มีผลบังคับเช่นเดียวกันอย่างเป็นไปเอง ฉะนั้น คำสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์อยู่ในราชอาณาจักรไทยไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักรจึงถูกต้องของธรรมสมบูรณ์ ส่วนคำสั่งที่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ออกนอกราชอาณาจักรไทยก็ย่อมตกอยู่ในลักษณะไม่สมบูรณ์หรือขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างเป็นไปเอง คสช.และองค์กรบริหารทั้งสิ้น ก็ถือปฏิบัติคำสั่งที่ถูกต้องตามหลักนิติธรรม ไม่ถือหรือปฏิบัติคำสั่งที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เมื่ออยู่ในลักษณะเช่นนี้ คสช.ก็ประกาศยกเลิกคำสั่งที่อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศได้เสีย ปัญหาต่างๆก็ยุติลง คสช.ก็กุมสถานการณ์ประเทศบ้านเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และยังมีเงื่อนไขกุมสถานการณ์ทักษิณ พรรคเพื่อไทย ขบวนการเสรีไทย 2 และม็อบเสื้อแดง และต่างชาติ และคอมมิวนิสต์ ได้ระดับหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะมี.. “นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นตัวประกัน” ไม่ปล่อยตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ให้ทักษิณ ให้พรรคเพื่อไทย ให้ขบวนการเสรีไทย 2 ให้ม็อบเสื้อแดง ให้ต่างชาติ และให้คอมมิวนิสต์กุมสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศได้...และทำให้ คสช.สูญเสียดุลอำนาจ กุมสถานการณ์ไม่ได้
7. ได้เกิดมติมหาชนขึ้นทันทีที่มีข่าวแพร่สะพัดออกไปทั่วประเทศว่า คสช. มีคำสั่งได้อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ให้เดินทางออกนอกประเทศได้ คือ... “ไม่เห็นด้วยกับ คสช.อย่างยิ่ง” ในสื่อสารมวลชนทุกแขนงโดยเฉพาะในโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค(Social Net Work) และยิ่งเกิดมติมหาชนเป็นกระแสรุนแรงสูงขึ้นอย่างมากมายกว้างขวางที่สุด เมื่อ ปปช.ได้อ่านคำพิพากษาชี้มวลความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ว่า.. “ผิดทุกขั้นตอน” ทำให้ คสช.เริ่มจะโดดเดี่ยวตัวเองออกจากประชาชนเป็นลำดับๆ แม้ว่า คสช.จะประกาศคำสั่งให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่มก็ตาม ก็ไม่อาจจะลดกระแสความไม่เห็นด้วย หรือการต่อต้านคัดค้านไม่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศได้เลย ประชาชนบางคนเข้าใจผิดไปว่า... “คสช.พยายามเอาการลดภาษีมูลค่าเพิ่มมากลบหรือมาลดกระแสต่อต้านคัดค้าน คำสั่งของ คสช.ที่อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้”
8. ถ้า คสช. ไม่ปล่อยตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศ...ก็จะได้รับความสนับสนุนและความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ไม่เปิดเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีทำลาย คสช.ได้....แต่ถ้า คสช.ปล่อยตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ให้ไปต่างประเทศจะโดดเดี่ยวตัวเองออกจาประชาชน(Isolation)...ก็จะเปลี่ยนเงื่อนไขไปเป็นอีกอย่างหนึ่งตรงกันข้ามชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ คือ จะเปิดเงื่อนไขให้มีการโจมตี ครหาวิพากษ์วิจารณ์ หรือเกิดความเข้าใจผิด หรือเกิดลังเลสงสัยไปต่างๆ นาๆ เช่น อาจจะมองหรือคิดกันไปเองได้ว่า คสช.แพ้ เผด็จการรัฐสภา คสช.แพ้ต่างชาติ คสช.แพ้ทักษิณ หรือถึงขนาดร้ายแรงที่สุดอาจจะมองหรือเข้าใจผิดไปว่า คสช.รู้เห็นเป็นใจกับยิ่งลักษณ์ทักษิณ หรือ ต่างชาติ หรือ คอมมิวนิสต์ หรืออาจจะเข้าใจผิดไปว่า คสช.ได้รับอะไรจากยิ่งลักษณ์หรือทักษิณ เป็นต้น ซึ่งเราก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นโดยเด็ดขาดสิ้นเชิง เราเชื่อว่า คสช.มีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมืองต่อประชาชนคนทั้งประเทศ คสช.มีจุดยืนเพื่อผลประโดยโยชน์ของชาติและประชาชน คสช.บริสุทธิ์สะอาดเสียสละซื่อสัตย์ไว้ใจได้ เชื่อถือได้ น่าเคารพ น่าศรัทธา เป็นต้น เราจึงรีบออกมาบอกแก่ คสช.ให้มองเห็นภัย ให้มองเห็นความผิด เพื่อรักษาปกป้อง คสช.ไว้ไม่ให้เสียหาย ไม่ให้ถูกทำลายอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง “มิตรแท้คือมิตรที่ช่วยชี้ถูกชี้ผิด” ถ้าไม่เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูก็ปล่อยให้ผิดไปพังไปไม่ใยดีหรือห่วงหาอาทร
จึงเรียนมาเพื่อโปรดยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่อนุญาตให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหรือ หรือผู้ต้องสงสัย ที่กำลังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ทราบของกระบวนการยุติธรรม ที่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยโดยทันทีให้ทันต่อสถานการณ์ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสำเร็จของการแก้ปัญหาชาติและประชาชนด้วยการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดต่อไป
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(นายพัสไสว แก้วน้ำ)
รักษาการณ์เลขาธิการกรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นายสมาน ศรีงาม)
ที่ปรึกษาสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
ประธานคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา
(นายปัญญา ศรีสมยา)
ประธานสภาชาวนาแห่งชาติ
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นายสมพร พวงแสง)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นางสาวพรรณี กุลชาติ)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นางไพทูล สุนทอง)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นายสุริยา สุนทอง)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นางสาวเสาวลักษณ์ กัลยา)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นายเส็ง วงศ์พรหม)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นางงามจิต จันทน้อย)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
(นางสาวพรสวรรค์ ใจสุข)
กรรมการสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ 463 ซอยสวนพลู 8 แขวงเขตสาทร กรุงเทพฯ โทร. 0898860868
สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ 463 ซอยสวนพลู 8 แขวงเขตสาทร กรุงเทพฯ โทร. 0898860868

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 2/2557 เรื่อง "พรรค คสช. ต่อสู้เอาชนะพรรคเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดทุนสามานย์...???"

จดหมายเปิดผนึก
ฉบับที่ 2/2557
ถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เรื่อง "พรรค คสช. ต่อสู้เอาชนะพรรคเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดทุนสามานย์...???"

อันว่ากฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง...เป็นกฎหมายเผด็จการที่สร้างพรรคนายทุนผูกขาดสามานย์ให้รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภา กุมรัฐตลอดมา...เป็นอุปสรรคต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตย ต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตย ต่อการสร้างพรรคประชาธิปไตย หรือพรรคมวลชนประชาธิปไตย(Mass Party) ต่อการสร้างการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย...!!!

พรรคเหล่านี้ดำรงอยู่ 2 สภาวะ คือ...
- ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ..เป็น.."พรรคการเมืองตามธรรมชาติ"
- ดำรงอยู่ตามกฎหมาย..เป็น.."พรรคการเมืองตามกฎหมาย"
คือ..กฎหมายพรรคการเมืองอันเป็นกฎหมายเผด็จการ ของระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือ อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย

พรรคเหล่านี้รับมรดกคณะราษฎรมาทำลายความั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำลายกองทัพแห่งชาติ...ดังนั้น คสช.ซึ่งเป็นพรรคการเมืองตามธรรมชาติและตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ที่กองทัพแห่งชาติได้ตั้งขึ้นกุมรัฐ(กุมอำนาจรัฐ และกุมกลไกแห่งรัฐ)...เพื่อต่อสู้เอาชนะพรรคเผด็จการรัฐสภา ต่อสู้เอาชนะระบอบเผด็จการรัฐสภา ต่อสู้เอาชนะลัทธิเผด็จการ(ลัทธิรัฐธรรมนูญ) ต่อสู้เอาชนะมวลชนเผด็จการที่รักษาระบอบเผด็จการ ต่อสู้เอาชนะระบบทุนผูกขาดสามานย์ของพรรคทุนผูกขาดสามานย์...เมื่อก่อนคอมมิวนิสต์คือคู่ต่อสู้ของกองทัพแห่งชาติ...แต่ปัจจุบันคู่ต่อสู้ของกองทัพแห่งชาติ..คือ.."เผด็จการรัฐสภา" ที่กองทัพแห่งชาติได้โค่นลงไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 เมื่อเวลา 16.30 น. นั่นเอง....แล้วจะเอาเผด็จการรัฐสภากลับมาอีกทำไม...ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง(เผด็จการ)และกฎหมายเลือกตั้ง(เผด็จการ)กลับมาอีกทำไม....???

ถ้า คสช.เอาเผด็จการรัฐสภากลับมาอีก โดยการคงกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้งแบบเผด็จการนี้ไว้...ก็จะผิดพลาดเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย รสช.และ คมช. คสช.จะถูกทำลาย กองทัพแห่งชาติจะถูกทำลายอีกเช่นเดิม

เพราะพรรคการเมืองซึ่งมีหน้าที่กุมรัฐ (กุมอำนาจรัฐ และกุมกลไกแห่งรัฐ)นั้น...จะพัฒนาและเติบโตตามธรรมชาติของพรรคการเมือง ไม่ใช่เอากฎหมายไปสร้างพรรคการเมืองให้เกิดขึ้นและเติบโตเข้มแข็งได้ และเมื่อพรรคกุมรัฐ คือ พรรคอยู่เหนือรัฐ จะไม่มีกฎหมายพรรคการเมืองของรัฐ(State)มากุมพรรคการเมือง(Political Party) การมีกฎหมายพรรคการเมือง คือ การทำผิดหลักวิชาการรัฐศาสตร์อย่างร้ายแรง กลับหัวกลับหางกัน หรือ เอาเท้ามาคิดต่างหัว เอาหัวมาเดินต่างเท้า นั่นเอง
จึงเกิดความล้มเหลวในการสร้างระบอบประชาธิปไตย และสร้างพรรคประชาธิปไตยไม่สำเร็จตลอดมา ยังกลับเป็นการรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้อีกต่างหาก เพราะเป็นการรักษาพรรคการเมืองทุนผูกขาดสามานย์ของระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ตลอดมาอีกด้วย ดังนั้น จะต้องปลอดปล่อยให้ประชาชนสามารถสร้างพรรคการเมืองของตนเองได้ตามธรรมชาติ เหมือนพรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่มีกฎหมายพรรคการเมืองมากุมพรรคแต่อย่างใดทั้งสิ้น มีแต่พรรคกุมรัฐทั้งสิ้น พรรคการเมืองในประเทศเหล่านี้จึงเป็นระบบพรรคที่ก่อเกิดเติบใหญ่เข้มแข็ง
เป็นพรรคประชาธิปไตย สร้างและพัฒนาและรักษาระบอบประชาธิปไตยได้ตลอดมาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

อนึ่ง...โดยแท้จริงแล้ว...คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คือ.."พรรคการเมืองตามธรรมชาติและตามกฎหมายสูงสุด" ซึ่งก่อตั้งโดยกองทัพแห่งชาติ เพื่อขึ้นมาดำเนินงานทางการเมืองรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรักษาความปลอดภัยของประชาชน ด้วยการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เช่น.. โดยยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา ยกเลิกรัฐสภาเผด็จการชนิดเก่า ยกเลิกรัฐบาลเผด็จการชนิดเก่า ยกเลิกรัฐธรรมนูญเผด็จการชนิดเก่า ยกเลิกพรรคการเมืองเผด็จการชนิดเก่า ยกเลิกมวลชนเผด็จการชนิดเก่า ทั้ง นปช. กปปส. และยกเลิกกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจที่ครอบงำกรรมกรรัฐวิสาหกิจ ปลดปล่อยกรรมกรรัฐวิสาหกิจให้เป็นอิสระ เพื่อช่วยสนับสนุนผลักดันให้ คสช.มีชัยชนะ สร้างประชาธิปไตยสำเร็จ ซึ่งการช่วยผลักดันของกรรมกรรัฐวิสาหกิจจะทำให้นายทุนผูกขาด และทุนข้ามชาติพ่ายแพ้ต่อ คสช. เพราะกรรมกรเป็นคู่ต่อสู้ คู่ขัดแย้ง ที่นายทุนผูกดขาดและทุนข้ามชาติไม่อาจจะต่อสู้เอาชนะได้อย่างสิ้นเชิง กรรมกรไทยจะมีชัยชนะทุนผูกขาดและทุนข้ามชาติสถานเดียว ถ้ากรรมกรไทยใช้รูปการผลักดันอย่างสันติสูงสุดตามกฎขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization - ILO)ของสหประชาชาติ คือ การหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตย(General Strike) อันเป็นความร่วมมือของ.."กองทัพทหารไทย..กับ..กองทัพกรรมกรไทย" อันเป็นการยึดอำนาจทั้งทางการเมือง และอำนาจทางเศรษฐกิจ นั่นเอง ที่เป็นชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต่อทุนผูกขาดสามานย์และทุนข้ามชาติที่รุกรานแทรกแซงประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

โดยแท้จริงแล้ว เมื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไปแล้ว กฎหมายลูก(Organic Law)หรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็ต้องสิ้นสภาพไปอย่างเป็นไปเองอยู่โดยอัตโนมัติอย่างเป็นไปเอง พรรคเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ก็สิ้นสภาพไปโดยกฎหมาย เหลือแต่พรรคตามกฎหมาย ซึ่งยกเลิกพรรคเผด็จการตามธรรมชาติซ้ำอีกครั้งหนึ่งโดยการสร้างประชาธิปไตย หรือการสร้างพรรคประชาธิปไตยขึ้นมา

ภารภิจเร่งด่วนเฉพาะหน้า..คือ.....รีบลงมือทำาการจัดตั้งสร้าง..."พรรคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ"(พรรค คสช.) ทั้งงานทางด้านการเมือง และงานทางด้านการจัดตั้ง...ให้เป็นพรรคการเมืองประชาธิปไตย มีลักษณะเป็นพรรคมวลชนของประชาชน(Mass Party) เป็นพรรคปกครอง(Ruling Party) อันเป็นพรรคปฏิวัติ(Revolutionary Party)...ด้วยมาตรการดังต่อไปนี้...

1. จัดทำหลักนโยบาย และนโยบายของพรรค คสช. เช่นเดียวกับพรรคการเมืองทั่วไปทั้งนโยบายหลัก และนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้า เพื่อมอบให้สภาเฉพาะกาลและรัฐบาลเฉพาะกาลรับเอาไปปฏิบัติให้แล้วเสร็จต่อไป ซึ่งมาจากอุดมการ.."ลัทธิประชาธิปไตย"(Democracy) และอุดมคติสังคมประชาธิปไตย(Democratic Society) ตามพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของสมเด็จพระปกเกล้า ร.7 และพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2516 ว่า..."จัดให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศชาติบ้านเมือง" และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับสูง อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับปฏิบัติให้แล้วเสร็จ

2. รุกทางการเมืองด้วยการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง...โดยใช้แนวทางและนโยบายสร้างประชาธิปไตยและหลักนโยบายทั้งสิ้น ต่อเผด็จการรัฐสภา เผด็จการคอมมิวนิสต์ ต่อเผด็จการต่างชาติ หักล้างการรุกต่อ คสช.ทั้งสิ้น ด้วยการรุกกลับ(Counter Offensive)เอาชนะเผด็จการทั้ง 3 ชนิด ด้วยมาตรการ(Measure)ประกาศและรณรงค์(Campaign)ออกไปอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้

3. กระทำการรุกทางการเมือง(Practice the Counter Offensive)...ด้วยการปฏิบัตินโยบายของพรรค คสช.ให้ปรากฎเป็นจริง มีผลอันเป็นผลประโยชน์และความสุขแก่ประชาชนทุกคนในประเทศอย่างกว้างขวางเป็นธรรมยั่งยืนตลอดไป อันเป็นการต่อสู้เอาชนะขั้นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสิ้นเชิงต่อเผด็จการ 3 ชนิด จะเป็นการโดดเดี่ยวเผด็จการทั้ง 3 ชนิดออกจากประชาชนและประชาชาติทั้งสิ้น และประชาชนและประชาชาติทั้งสิ้นจะหันมาสนับสนุนและรักษาปกป้อง คณะ คสช. ให้ปลอดภัยตลอดไป ไม่มีใครมีทำลายโค่นล้มได้อย่างสิ้นเชิง

4. จัดตั้งพรรค คสช. (Get Organize)ให้มีลักษณะเป็นพรรคของประชาชน เป็นพรรคประชาธิปไตย เป็นพรรคมวลชนอย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งประเทศ ด้วยการขยายการจัดตั้งควบคู่ไปกับรัฐ คือ...
- คสช.ตำบล
- คสช.อำเภอ
- คสช.จังหวัด
- คสช.แห่งชาติ
(ตามกฎเกณฑ์...พรรคกุมรัฐ)
เปิดรับสมาชิกพรรค คสช. ทั่วประเทศอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าร่วมกับ ซึ่ง รสช. และ คมช.ไม่ดำเนินการให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรค รสช.และ คมช. ไม่เอาหลังพิงประชาชน ไม่ให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรค จึงโดดเดี่ยวจากประชาชน เปิดช่องเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามทำลายโค่นล้มได้ในที่สุด โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น จะต้องรีบดังประชาชนเข้าร่วมกับคสช.เสียก่อน อันเป็นการ..."เอาพวกก้าวหน้า..ดึงพวกกลางๆ..โดดเดี่ยวพวกล้าหลัง"...นั่นเอง

5. ติดอาวุธทางความคิด(Ideological Weapon) ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ด้วยลัทธิประชาธิปไตย ตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 โดยใช้สื่อของรัฐและของเอกชนทั้งสิ้น(Press Organ) เป็นกลไกติดอาวุธทางความคิด และจัดประชุมสัมมนา ศึกษาหล่อหลอม จัดตั้งทางความคิดให้เต็มที่และแหลมคมแจ่มชัดตัดขาวตัดดำ(Sharp& Keen, Clear & Cut)

6. จัดตั้งมวลชนประชาธิปไตย(Democratic Masses) อย่างกว้างใหญ่ไพศาล โดยส่งเสริมให้ประชาชนจัดตั้งกลุ่ม องค์กร ชมรม สภา สมัชชา สหภาพ ขบวนการฯ ..ฯลฯ ให้มากที่สุด ทั้งในลักษณะ..
- กลุ่มผลประโยชน์(Interest Group)
- กลุ่มผลักดัน(Pressure Group)
ให้มวลชนมีความเป็นอิสระ โดยมีอุมดมการลัทธิประชาธิปไตย และมีอุดมคติสังคมประชาธิปไตย ตามลักษณะขององค์การ
มวลชน(Mass Organization)ที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุด

หมายเหตุ...
- การเมืองอยู่ที่..คสช.
- การปกครองอยู่ที่รัฐ
- การทหารอยู่ที่กองทัพ
- การมวลชนอยู่ที่ประชาชน
สรุป...คสช.กุมรัฐ กุมกองทัพ กุมมวลชน นั่นเอง

ของแสดงความนับถือเป็นอย่างยิ่ง

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
(นายสมาน ศรีงาม โทร.0898860868)
4 มิถุนายน 2557

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 3/2557 เรื่อง ภารกิจแห่งชาติอันยิ่งใหญ่ของ คสช. และความดีของ คสช.

จดหมายเปิดผนึก
ฉบับที่ 3/2557
ถึงสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

"เรื่อง ภารกิจแห่งชาติอันยิ่งใหญ่ของ คสช. และความดีของ คสช."

เมื่อ คสช. เข้าควบคุมอำนาจอธิปไตยทั้งสิ้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จึงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)สูงสุด สามารถยุติสถานการณ์อนาธิปไตยสุดขีด(Hyper Anarchism) ที่กำลังจะพัฒนาไปสู่มิคสัญญีกลียุคและสงครามกลางเมือง(Civil War) ซึ่งจะเป็นการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ในที่สุด โดยได้ทำลายสิ่งที่เป็นภัยของชาติและประชาชนดังต่อไปนี้...

1. ระบอบเผด็จการรัฐสภาทุนผูกขาดสามานย์ ดังนี้ คือ...
- ยกเลิกรัฐสภา
- ยกเลิกรัฐบาล
- ยกเลิกรัฐธรรมนูญ
- ยกเลิกพรรคการเมือง
- ยกเลิกมวลชนเผด็จการ เช่น นปช. กปปส. และการหยุดงานแบบเผด็จการของกรรมกรรัฐวิสาหกิจที่รักษาระบอบเผด็จการ ไม่ได้หยุดงานทั่วไปสร้างประชาธิปไตย

2. ทำลายการรุกรานแทรกแซงกิจกิจการภายใน(Internal Affair)ของไทยจากต่างชาติ ผ่านพรรคเผด็จการ ผ่านรัฐบาลและรัฐสภาเผด็จการ ผ่านพรรคเผด็จการ ผ่านมวลชนเผด็จการ ผ่านกฎหมายเผด็จการ ฝ่ายนโยบายเผด็จการ ผ่านวิธีคิดเผด็จการที่ถูกโค่นลงไปโดย คสช. เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2557

3. ทำลายแนวร่วม(United Front)ของคอมมิวนิสต์ได้ระดับหนึ่ง เพราะคอมมิวนิสต์ทำแนวร่วมทั้งแนวร่วมแห่งชาติกับเผด็จการรัฐสภาภายในประเทศ และทำลายแนวร่วมประชาชาติ(International United Front)กับต่างชาติภายนอกประเทศ

คสช.กระทำการดังกล่าวอย่างสันติวิธีและใช้กฎหมายดำเนินการ...จึงไม่ใช่การกระทำรุนแรงแต่อย่างใดและไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใดทั้งสิ้น...คสช.จึงทำตามแนวทางสันติเช่นเดียวกับขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ และสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ อย่างเป็นไปเอง นั่นเอง ตามที่เรายืนหนังสือต่อกองทัพแห่งชาติ โดยสภาประชาชนแห่งชาติเมื่อ 8-9 เดือนที่ผ่านมาก(สภาสนามหลวง) และได้ยืนไว้โดยคณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพาเมื่อประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือการปฏิบัตินโยบาย 66/23 อย่างเป็นไปเอง นั่นเอง คสช. และกองทัพแห่งชาติ คสช.จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

กองทัพแห่งชาติ ได้ก่อตั้งพรรคการเมืองตามธรรมชาติและตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)คือ.."ความมั่นคงแห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด" เข้ากุมรัฐเพื่อต่อสู้กับเผด็จการรัฐสภา และคอมมิวนิสต์มา 3 ครั้งแล้ว คือ...
- รสช. เมื่อปี 2534
- คมช. เมื่อปี 2549
- คสช. เมื่อปี 2557
แต่ก็ล้มเหลวมา 2 ครั้งแล้ว...แต่ครั้งที่ 3 โดย คสช.นี้ยังไม่แน่ว่าจะล้มเหลวหรือสำเร็จ...ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานการณ์ที่พัฒนาไป และความถูกต้องของ คสช.เองเป็นสำคัญ

เมื่อได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองซึ่งมีผลดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว...ขั้นตอนต่อไปว่าจะรักษาสถานการณ์สันติภาพไว้ได้หรือไม่หรือจะมีชัยชนะต่อเผด็จการรัฐสภา เผด็จการคอมมิวนิสต์ในรูปของแนวร่วมฯ เผด็จการต่างชาติในที่สุดหรือไม่ ???...ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขชี้ขาดดังต่อไปนี้...

1.) คสช.ยึดถือแนวทางถูก..หรือ..แนวทางผิด ระหว่างแนวทาง ร.5 - ร.7 นโยบาย 66/23 "ลัทธิประชาธิปไตย" ที่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับทหารประชาธิปไตย...หรือ...คสช.จะยึดถือแนวทางของคณะราษฎร "ลัทธิรัฐธรรมนูญ" อันเป็นลัทธิเผด็จากการ ซึ่งเป็นแนวทางผิดที่ดำเนินมาเป็นเวลาถึง 81 ปีตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองฯ 24 มิถุนายน 2475 เช่นเดียวกับ รสช.และ คมช. และคณะรัฐประหารทุกคณะในอดีต

2.) สร้างประชาธิปไตย หรือ สร้างรัฐธรรมนูญ
- สร้างประชาธิปไตย ด้วยการตั้งการปกครองเฉพาะกาล(Provisional Government) ที่ประกอบด้วย..."สภาสร้างประชาธิปไตยที่มีผู้แทนเขตและผู้แทนอาชีพอย่างกว้างขวางที่สุด..และ..รัฐบาลเฉพาะกาลที่มีนโยบายสร้างประชาธิปไตย"
- คสช.ยกระดับเป็น.."พรรคปกครองที่เป็นพรรคของประชาชนประชาธิปไตยหรือพรรคมวลชน" โดยมีงานทางการเมืองคือ.."นโยบายสร้างประชาธิปไตย" และมีงานทางการจัดตั้งคือ "จัดตั้ง คสช.ตำบล คสช.อำเภอ คสช.จังหวัด คสช.แห่งชาติ"
- คสช.ให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกทั่วทั้งประเทศอย่างกว้างขวางที่สุด ยิ่งมากเท่ายิ่งดี ถ้าทั้งประเทศยิ่งดีที่สุด
- ร่างนโยบายของ คสช. อันเป็นนโยบายสร้างประชาธิปไตยก่อนสิ่งอื่นทั้งสิ้น ไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวก่อนสิ่งอื่นทั้งสิ้นดังเช่น รสช. และ คมช. รัฐธรรมนูญชั่วคราว(เฉพาะกาล)หรือรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เอาไว้ภายหลังเมื่อมีเหตุปัจจัยเงื่อนไขเหมาะสมเพียงพอ เพราะเราจะต้องสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จก่อนเป็นขั้นตอนแรกๆ แล้วจึงสร้างรัฐธรรมนูญมาสะท้อนภาพรักษาประชาธิปไตยที่สร้างเสร็จแล้วไว้ต่อไปตามกฎเกณฑ์ ตามหลักวิชาการที่ถูกต้องแล้ว...จะต้อง.."ใช้นโยบาย(Policy)สร้างประชาธิปไตยก่อน"...แล้วจึง..."ใช้รัฐธรรมนูญร่างรักษาประชาธิปไตย" ไว้ต่อไปภายหลัง นโยบายมาก่อนรัฐธรรมนูญ การเมืองมาก่อนกฎหมาย กฎหมายรับใช้การเมือง ดังคำกล่าวว่า..."Social change, Law change"...!!! (สังคมเปลี่ยนกฎหมายจึงเปลี่ยนตาม) ไม่ใช่เอากฎหมายมาเปลี่ยนสังคม หรือเอากฎหมายมาสร้างประชาธิปไตย ที่เคยผิดพลาดซ้ำรอยประวัติศาสตร์ตลอดมา แต่อย่างใดทั้งสิ้น

3. สร้างประชาธิปไตยตามนโยบายสร้างประชาธิปไตย ของ คสช. ที่กุมรัฐบาลเฉพาะกาลและกุมรัฐสภาเฉพาะกาลและกุมกองทัพให้ทำตามนโยบายสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ ซึ่งเป็นภารกิจในระยะเปลี่ยนผ่าน(Transition Period) ซึ่งจะใช้เวลาช้าหรือเร็วอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจสร้างประชาธิปไตย ถ้าสำเร็จเร็วก็ใช้เวลาไม่ยาวประมาณ 5 ปี แต่ถ้าสำเร็จช้าด้วยความไม่เข้าใจหรือถูกต่อต้านก็จะใช้เวลาทอดยาวนานออกไปอีกเป็น 10 ปี หรือมากกว่านั้น ดังนั้น เวลาการดำรงอยู่ของ คสช.และรัฐบาล-รัฐสภาเฉพาะกาลขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภารกิจเป็นสำคัญชี้ขาด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสร้างรัฐธรรมนูญหรืออะไรทั้งสิ้น การใช้เวลา 1 ปีครึ่งของ คสช.คือการสร้างรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่ไม่มีการสร้างประชาธิปไตยซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม-วัฒนธรรมอย่างทั่วด้าน ซึ่งจะต้องใช้เวลาตั้งแต่ 5 - 20 ปีโดยประมาณหรือมากกว่านั้น ดังเช่น การสร้างประชาธิปไตย หรือการปฏิวัติประชาธิปไตย(Democratic Revolution)ทั่วโลก ดังนั้น จึงขาดขั้นตอนสร้างประชาธิปไตย(Missing Link) ถ้าไม่ได้ทำขั้นตอนสร้างประชาธิปไตย จะทำขั้นตอนอื่นๆมากเท่าใด ก็เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นเอง

4. สร้างรัฐธรรมนูญ ด้วยสภาร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย...เพื่อสะท้อนภาพประชาธิปไตยที่สร้างเสร็จแล้วไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ต่อไป "รัฐธรรมนูญคือภาพสะท้อนของระบอบ"(Reflection of Regime) จึงต้องสร้างระบอบประชาธิปไตยของรัฐก่อน...แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญมากสะท้อนภาพรักษาประชาธิปไตยไว้ต่อไป ดังเช่นการร่างรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ดังนั้น มรรควิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องคือง.."สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ...แล้วร่างรัฐธรรมนูญมาสะท้อนภาพและรักษาประชาธิปไตยที่สร้างเสร็จแล้วดำรงอยู่จริงแล้ว(Existence)ไว้ต่อไป" ไม่ใช่ไปใช้มรรควิธีที่ผิดคือ..."ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างประชาธิปไตย" ที่ผิดพลาดมาโดยตลอด จึงทำให้สร้างประชาธิปไตยไม่สำเร็จล้มเหลวตลอดมา เป็นเหตุให้ไทยมีรัฐธรรมนูญมากมายที่สุดในโลกถึง 18 ฉบับ แต่ไม่มีประชาธิปไตยเลย และ คสช.กำลังจะสร้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 และจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย หรือจะถูกเลิกไปอีกแล้วมีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ต่อไปไม่รู้จบ ก็ขึ้นอยู่กับว่า "คสช.ใช้มรรควิธีการร่างรัฐธรรมนูญแบบใด..???" ระหว่างสร้างประชาธิปไตยก่อนร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง หรือ สร้างประชาธิปไตยด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่ผิดพลาดที่เป็นอวิชชาอย่างร้ายแรง

5. เปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแบบประชาธิปไตย(Democratic General Election) ภายใต้โครงสร้างประชาธิปไตยอย่างทั่วด้านที่สร้างเสร็จแล้ว อันเป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ก็จะทำให้ได้ผู้แทนปวงชนชาวไทยที่แท้จริง จะมีรัฐสภาและรัฐบาลประชาธิปไตยเข้ารับหน้าที่จาก คสช.และ รัฐบาลเฉพาะกาลและรัฐสภาเฉพาะกาล ทำการบริหารราชการแผ่นดินตามครรลองประชาธิปไตย และวิถีทางกฎหมายประชาธิปไตย ต่อไป

6. เมื่อภารกิจสร้างประชาธิปไตยเสร็จสิ้นแล้ว...ก็ยุบเลิก รัฐบาลและรัฐสภาเฉพาะกาล และ คสช.ต่อไป คสช.ก็จะกลายเป็นพรรคการเมืองประชาธิปไตย เข้าร่วมการเลือกตั้งทั่วไปแข่งขันกับพรรคอื่นๆ เพื่อขึ้นปกครองประเทศภายใต้โครงสร้างประชาธิปไตยอย่างทั่วด้านต่อไป พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นหัวหน้าพรรคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(พรรค คสช.) ต่อไป และมีความเป็นผู้นำแห่งชาติ(National Leader) หรือเป็นรัฐบุรุษ(State man)ที่ยิ่งใหญ่แท้จริงตลอดไป

7. ถ้า คสช.ทำเช่นนี้...ก็จะมีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยั่งยืนตลอดไป สามารถทำการปฏิวัติสันติครั้งแรกของโลก(Peaceful Revolution) และรักษาสถาการณ์สันติภาพไว้ได้ตลอดไป และจะกลายเป็นสันติภาพถาวร(Lasting Peace) ทั้งในประเทศไทยและโลก

แต่ถ้า คสช.เดินแนวท่างอื่น ก็จะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของแนวทางผิดที่ผ่านๆมาในอดีตเช่น รสช.และคมช. ก็จะล้มเหลวเช่นเดียวกันเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างน่าเสียดายยิ่ง (History repeated it-self) คสช.กำลังจะพิสูจน์สัจธรรมนี้ เพราะสัจธรรมมีหนึ่ง(Truth is one)...!!!

ขอให้ คสช.และประเทศไทยและประชาชนไทยทุกคน จงโชคดี...!!!

ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557
(นายสมาน ศรีงาม โทร. 0898860868)

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 4/2557 เรื่อง คสช. อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของเผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่ง รีบสร้าง คสช. รัฐสภา รัฐบาล ประเทศใ ห้เป็นของประชาชนคนทั้งประเทศ ก่อนจะถูกทำลายให้พังไปดังเช่น รสช. และ คมช. เพื่อชัยชนะเด็ดขาดของ คสช.ตลอดไป

จดหมายเปิดผนึก
ฉบับที่ 4/2557
ถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

"เรื่อง คสช. อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของเผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่ง รีบสร้าง คสช. รัฐสภา รัฐบาล ประเทศใ ห้เป็นของประชาชนคนทั้งประเทศ ก่อนจะถูกทำลายให้พังไปดังเช่น รสช. และ คมช. เพื่อชัยชนะเด็ดขาดของ คสช.ตลอดไป"

ตามที่ข่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ที่ว่า “นิพิฏฐ์” เชียร์ ประยุทธ์” นั่งนายกฯ ใช้อำนาจเด็ดขาด แก้ปัญหาประชาชน..." เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2557 นั้น (http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?newsid=9570000063854)

นี่คือธาตุแท้ของเผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่ง...ยุให้ทหารทำรัฐประหารเป็นเครื่องมือของตนเองโค่นล้มศัตรูทางการเมืองให้แก่ตัวเองตั้งแต่ รัฐประหารผิน-เผ่า ปี พ.ศ. 2490 (ที่ ปชป.ต่อสู้กันในสภาฯกับรัฐบาลเสรีไทยที่นำโดยนายกฯลิ้นทอง พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อภิปราย 7 วัน 7 คืน ลงมติรัฐบาลชนะ ปชป. แพ้...และได้ยุให้ทหารทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเสรีไทย และก็ทำเช่นนี้มาโดยตลอด เล่นงานอาจารย์ปรีดี เช่น วางแผนตะโกนในโรงหนังเฉลิมไทยว่า.."ปรีดีฆ่า่ในหลวง" และหลอกลวงประชาชนว่า..."ระบอบเผด็จการรัฐสภา..คือ..ระบอบประชาธิปไตย"..โดยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2492 ว่า.."ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ" จนเกิดความเห็นผิดมิจฉาทิฎฐิครอบงำคนไทยตลอดมาว่า.."เผด็จการรัฐสภา..คือ..ประชาธิปไตย" ขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยตลอดมา และรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ให้ทำลายชาติและทำร้ายประชาชนให้พินาศหายนะล่มจมและอดอยากยากจนข้นแค้นแสนสาหัส "สิ้นชาติ สิ้นคน" เช่น สถานการณ์ปัจจุบัน

นี่ก็หลอกให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คสช. ให้ใช้อำนาจเล่นงานทำลายศัตรูตัวเองให้เต็มที่...แล้วทำลายลงเสียไปพร้อมๆกัน ตามภาษิตที่ว่า.."เสร็จนาฆ่าโคทึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล"

และหนักหนาสาหัสยิ่งกว่านั้นคือ..."หลอกให้พลเอกประยุทธิ์ พังทางการเมือง...โดยไม่ยอม..สร้างอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนชาวไทย...โดยการตั้งสภาประชาชนและรัฐบาลเฉพาะกาลปฏิบัตินโยบายยกเลิกเผด็จการรัฐสภา สร้างระบอบประชาธิปไตย...เพื่อให้ คสช.รักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ให้เผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่งต่อไป...คสช.ก็จะพังไปเพราะใช้ระบอบเผด็จการหรือใช้อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยเข้าแก้ปัญหาประเทศชาติและปัญหาประชาชนที่ใหญ่หลวง...ที่จะต้องใช้อำนาจประชาชนเท่านั้นที่จะมีความเข้มแข็งพอจะแก้ปัญหาชาติและประชาชนได้...เมื่อ คสช.ใช้อำนาจคนส่วนน้อยที่ยึดมานั้นไปทำลายศัตรูทางการเมืองให้เผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่ง และไปแก้ปัญหาชาติและประชาชน...ก็จะเป็นหนังหน้าไฟและล้มเหลวพังไปในที่สุด...พลเอกประยุทธ์ คสช.ก็จะตกเป็นจำเลย หรือเป็นผู้ผิด "แพะรับบาป" หรือเป็นศัตรูกับศัตรูทางการเมืองของเผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่งแทน...พลเอกประยุทธิ์ คสช. ไม่มีประชาชนเป็นหลังพิง หรือไม่ได้เอาอำนาจไว้ในกำมือของประชาชน(สภาประชาชนและรัฐบาลเฉพาะกาล และไม่ได้ตั้ง คสช.เป็นพรรคประชาชน คือ รับสมัครประชาชนเป็นสมาชิก คสช. และจัดตั้งให้มี คสช.ตำบล คสช.อำเภอ คสช.จังหวัด คสช.แห่งชาติ) พลเอกประยุทธ์ก็โดดเดี่ยวจากประชาชน(Isolation) จะถูกเผด็จการรัฐสภาทั้ง 2 ปีก(ปีกฝ่ายรัฐบาล ปีกฝ่ายค้าน) เผด็จการคอมมิวนิสต์ และเผด็จการต่างชาติทำลายให้พังไปในที่สุด เช่น เดียวกับ รสช. และ คมช. ผิดพลาดซ้ำรอยประวัติศาสตร์ การตกเป็นเครื่องมือรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้ ก็คือการตกเป็นแนวร่วม(United Front)ให้แก่คอมมิวนิสต์ เพราะระบอบเผด็จการรัฐสภา คือ ขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์ นั่นเอง

พลเอกประยุทธ์ จะต้องไม่ยอมตนให้เป็นตกเครืองมือของเผด็จการรัฐสภา หรือเผด็จการใดๆทั้งสิ้น...จะต้องสามารถก้าวข้ามจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือของเผด็จการรัฐสภาอีกปีกหนึ่ง....รีบนำเอาอำนาจของคนส่วนน้อยที่ คสช.ยึดมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้น...เอามามอบให้เป็นของประชาชนหรือทำให้อำนาจเป็นของประชาชน หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน(Sovereignty of the people) ซึ่งเป็นอำนาจที่เข้มแข็งทรงพลังสูงสุดที่สามารถนำเอาไปแกัปัญหาชาติและประชาชนได้ทั้งหมดทั้งสิ้น และเป็นอำนาจที่ต่อสู้เอาชนะการแทรกแซงรุกรานของต่างชาติได้....โดยมาตรการดังนี้คือ...

- จัดตั้ง คสช. ให้เป็นพรรคของประชาชน หรือเอาหลังพิงประชาชนทั้งประเทศ หรือให้ประชาชนเข้าร่วมกับ คสช.ในการแก้ปัญหาชาติและปัญหาประชาชน...โดย...
* รับสมัครสมาชิก คสช.จากประชาชนทั่วประเทศ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
* จัดตั้งให้ คสช.เป็นพรรคมวลชน(Mass Party) คือ...
มี คสช.ตำบล คสช.อำเภอ คสช.จังหวัด คสช.แห่งชาติ
* จัดตั้งมวลชนประชาธิปไตยที่เข้มแข็งทรงพลังที่สุดในประเทศ ส่งเสริมให้ประชาชนจัดตั้งเป็นกลุ่ม ชมรม สภา สมัชชา สหภาพ สหพันธ์ ขบวนการ ฯลฯ ทั้งกลุ่มผลประโยชน์(Interest Group) และกลุ่มผลักดัน(Pressure Group) ในรูปขององค์การมวลชน(Mass Organization) ในแนวทางประชาธิปไตยที่แท้จริง ยุติการเคลื่อนไหวของมวลชนเผด็จกา่รรัฐสภา(ม็อบ) และมวลชนคอมมิวนิสต์ ทั้งสิ้น

- จัดตั้งสภาประชาชนฯที่ทำหน้าที่รัฐสภาแห่งชาติหนึ่งเดียวที่เป็นเอกภาพ(รวมสภานิติบัญญัติและสภาปฏิรูปและสภาร่างรัฐธรรมนูญ)ที่เป็นการสร้างอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หรือทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หรืออำนาจประชาชน ที่ต้องมี..."ผู้แทนเขตพื้นที่ทั่วประเทศโดยใช้อำเภอเป็นเขต" และมี.."ผู้แทนอาชีพทั่วทุกอาชีพ"...อย่างกว้างขวางและทั่วถึงที่สุดประมาณ 3,000 - 5,000 คน (ผู้แทนของประชาชนที่แท้จริงและกว้างขวางทั่วถึงที่สุดคือการแสดงว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทั้งประเทศอันเป็นรูปธรรม)

- มีรัฐบาลเฉพาะกาลชนิดใหม่...ที่มีลักษณะประชาธิปไตย อันต้องประกอบด้วย..."นโยบายสร้างประชาธิปไตยที่สะท้อนผลประโยชน์ของประชาชนคนทั้งประเทศทั่วถึงยุติธรรมยั่งยืนอย่างแท้จริง".ทึ่ คสช.มอบหมายนโยบายนี้ให้รัฐบาลและสภานำไปปฏิบัติให้สำเร็จปรากฏเป็นจริง ในฐานะ คสช.กุมรัฐ ..และมี..."รัฐมนตรีประมาณ 99 คนให้เพียงพอแก่ฝ่ายต่างๆที่ก้าวหน้าปรองดองเป็นเอกภาพ"

- จัดตั้งกรรมกรแรงงานโดยเฉพาะกรรมกรรัฐวิสาหกิจที่เป็นกำลังชี้ขาด(Main Forces) ของการผลักดันการสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ และการรักษาปกป้องภารกิจสร้างประชาธิปไตยในรูป "ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก" โดยให้กรรมกรแรงงานเป็นอิสระจาก พรบ.แรงงานรัฐวิสาหกิจปัจจุบัน(ที่กดกรรมกรรัฐวิสหกิจไว้ไม่มีอิสระภาพและแบ่งแยกออกจากกรรมกรเอกชนที่เคยใช้ พรบ.แรงงาน พ.ศ. 2518 อันเดียวกัน) กรรมกรรัฐวิสาหกิจและกรรมกรเอกชนจะช่วย คสช.ให้ต่อสู้เอาชนะนายทุนผูกขาดสามานย์และทุนข้ามชาติได้ที่รักษระบอบเผด็จกา่รรัฐสภาไว้ เพราะกรรมกรคือคู่ต่อสู้คู่ขัดแย้งที่แท้จริงของนายทุน และมีอาวุธสำคัญที่สุดที่ทำให้นายทุนผูกขาดและทุนข้ามชาติไม่อาจจะต่อสู้ได้เลยแม้แต่น้อยคือ.."การหยุดงานทั่วไป"(General Strike) อันเป็นสิทธิ์สากลรับรองโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Congress-ILO) เพราะทหารยึดได้เพียงอำนาจทางการเมือง..แต่ยึดอำนาจทางเศรษฐกิจไม่ได้...กรรมกรสามารถยึดอำนาจทางเศรษฐกิจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะกรรมกรมีอาวุธที่ทรงพลังสูงสุดคือ.."การหยุดงานทั่วไป" ดังเช่น ขบวนการกรรมกรชาร์ตีส(Chartis)อังกฤษ และขบวนการกรรมกรโซลิดาริตี้(Solidarity)โปร์แลนด์ และทั่วโลก

- ดึง ผรท.(ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย)ตามนโยบาย 66/23 เข้าร่วมสร้างประชาธิปไตย ในรูปมวลชนประชาธิปไตยที่ช่วยผลักดันให้การสร้างประชาธิปไตยสำเร็จ อันเป็นการปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับสูง นั่นเอง

เมื่อ คสช. นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำเนินการตามมาตรการสร้างประชาธิปไตยข้างต้นนี้...ก็จะมีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสิ้นเชิงต่อเผด็จการ 3 ชนิด คือ เผด็จการรัฐสภา เผด็จการคอมมิวนิสต์ และเผด็จการต่างชาติ อย่างยั่งยืนตลอดไป ไม่มีใครจะมาทำลายโค่นล้มให้ คสช.และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เลยแม้แต่น้อย

เสนอโดย...คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง
องค์การนำใหม่สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาฝืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 8 มิถุนายน 2557
โทร. 0898860868 (สมาน ศรีงาม)

จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 5/2557 เรื่อง ความจริงของสถานการณ์ประเทศไทย..คือ..เงื่อนไขแห่งชัยชนะ

จดหมายเปิดผนึก
ฉบับที่ 5/2557
ถึงคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
"เรื่อง ความจริงของสถานการณ์ประเทศไทย..คือ..เงื่อนไขแห่งชัยชนะ"

เมื่อ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.) โดยกองทัพแห่งชาติ ที่นำโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้มีเจตนาดีอย่างยิ่งต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนคนไทยทุกคน โดยได้ถูกสถานการณ์บังคับผลักดันให้...ต้องเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศอย่างสันติและถูกกฎหมาย...เพื่อยุติสถานการณ์อนาธิปไตยสุดขีด มิคสัญญีกลุยุค ระบอบของรัฐล้มเหลว(Failed Regime) และที่สุ่มเสี่ยงจะนำสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ที่คอมมิวนิสต์ได้เข้าทำแนวร่วมกับระบอบเผด็จการรัฐสภา ทั้งพรรคปกครอง ทั้งรัฐบาล ทั้งรัฐสภา ทั้งนักการเมือง ทั้งม็อบต่างๆ และทำแนวร่วมประชาชาติกับต่างชาติปิดล้อมประเทศไทย เพื่อยึดประเทศไทยในที่สุด อันเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุดต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอภัยของประชาชน อันเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ตามหลักนิติธรรม

สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...ตระหนักเห็นความจำเป็นอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลยอย่างสิ้นเชิง ที่จะต้องช่วยสนับสนุนส่งเสริมผลักดัน...ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจอันยิ่งใหญ่สูงส่งดังกล่าวข้างต้นโดยสวัสดีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อันเป็นแก้ปัญหาของชาติและแก้ปัญหาของประชาชนทุกคนให้สำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์บริบูรณ์ นั่นเอง...ความจริงของสถานการณ์ของประเทศไทยคือเงื่อนไขที่จำเป็นที่สุดที่จะนำปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาชาติและประชาชนได้จริง ดังนั้น จึงขอช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้ คสช. ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาดังกล่าวตั้งแต่แรก...โดยนำเสนอ.."ความจริงของสถานการณ์ประเทศไทย"...ดังต่อไปนี้...

ในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่(Modern History) มีลัทธิการการเมืองใหญ่ๆ อยู่ 3 ลัทธิ คือ...
1. ลัทธิเผด็จการ
2. ลัทธิประชาธิปไตย
3. ลัทธิคอมมิวนิสต์

ตามระบบความคิด(System) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า..."อุดมการ"(Ideology)ซึ่งประกอบด้วย...2 ด้านคือ...
ด้านจุดยืน(Stand point)หรือตัวความคิด และด้านวิธีคิด(Way of Thinking)

จุดยืนมี 2 จุดยืนหรือตัวความคิด คือ...
- จุดยืนเห็นแก่ตัว
- จุดยืนเห็นแก่ส่วนรวม

เขาจุดยืนไปมองสังคมก็จะเกิดเป็นวิธีคิด คือ...
1. ความเห็นหรือทฤษฎี(Theory)
2. แนวทาง(Line)
3. หลักนโยบาย(Program or Platform)
4. นโยบาย(Policy)
5. มาตรการและวิธีการ(Measure & Mean)
6. ยุทธศาสตร์ และยุทธิวธี(Strategy & Tactic)

จึงเรียกว่ามี 3 แนวทางเพื่อให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันกับโลก คือมี 3 ลัทธิ หรือมี 3 แนวทาง นั่นเอง คือ...
1. แนวทางเผด็จการ
2. แนวทางประชาธิปไตย
3. แนวทางคอมมิวนิสต์

ประเทศไทยจึงมี 3 แนวทาง(ขบวนการ)ที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอยู่ดังกล่าวข้างต้น

แนวทางเผด็จการ...คือแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญในทางความคิดของบุคคล(Thinking if person)...และแปรไปเป็นระบอบการปกครอง(Regime of Government)ของประเทศคือ..."ระบอบรัฐธรรมนูญ" หรือ "ระบอบเผด็จการ" ซึ่งมี 2 รูป คือ...
1. ระบอบเผด็จการรัฐประหาร(เผด็จการทหาร)
2. ระบอบเผด็จการรัฐสภา(เผด็จการพลเรือน)

ในประเทศไทย คณะ ร.ศ. 130 หรือกบฎเหล็ง หรือ เหรียญ ศรีจันทร์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 และต่อมา คือ คณะราษฎร พ.ศ. 2475 และเผด็จการทั้ง 2 รูปก็สืบทอดแนวทางเผด็จการ แนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ หรือแนวทางคณะราษฎร...มาตลอดจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา 81 ปี เข้ากุมอำนาจรัฐและกุมกลไกแห่งรัฐโดยคณะรัฐประหาร และคณะพรรคเผด็จการ ตลอดมา...จนถึงคณะ คสช. ซึ่งเป็นระบอบเผด็จการรัฐประหาร(ตราบใดที่ยังไม่ยกระดับการเมืองแนวทางคณะราษฎร..ขึ้นเป็น..แนวทาง ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23

คำถามที่ว่า..."จักรภพลี้ภัย..กับ..ฉลาดอดข้าว" เป็นแนวทางเดียวกันหรือไม่...คำตอบคือ..."ใช่...ทั้งคุณจักรภพลี้ภัย..กับ..คุณฉลาดอดข้าว...เป็นแนวทางเดียวกัน..คือ..แนวทางเผด็จการ..แนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ..แนวทางคณะราษฎร"

แนวทางประชาธิปไตย...เริ่่มจาก ร.5 ได้ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตย(Democracy)จากยุโรปที่เขาเริ่มใช้ก่อนใครในโลกนี้และได้สรุปขึ้นเป็น..ทฤษฎี..และ..ยกระดับขึ้นเป็น.."ลัทธิ"(Doctrine) คือ ลัทธิประชาธิปไตย ที่มี 3 ทฤษฎีคือ...
1. ทฤษฎีทางปรัชญา
2. ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์
3. ทฤษฎีทางเศรษฐกิจ

ซึ่งมีรูปธรรมคือ...
- เอกภาพของความแตกต่าง(Unity of Diversity) กระจายความคิด
- อำนาจอธิปไตยของปวงชน(Sovereignty of the people) กระจายอำนาจ
- กรรมสิทธิเอกชน(Private Ownership) กระจายทุน

ร.5 ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตยทั้ง 3 ทฤษฎีนี้...มาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยอย่างสอดคล้องเหมาะสมเป็น..."พระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างสันติ" หรือ การปฏิวัติสันติด้วยพุทธอหิงสาธรรม(Peaceful Revolution) และได้ทรงปฏิบัติรพบรมราโชบายฯ จนประสบความสำเร็จในขั้นตอนที่ 1 มีผลอันใหญ่หลวงทำให้รักษาเอกราชของชาติไว้ได้ และมีชัยชนะต่อลัทธิล่าอาณานิคม นำพาชาติขึ้นยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ทันสมัย(Modernization) และ ร.6 ร.7 ทรงสืบทอดแนวทางประชาธิปไตยของ ร.5 มาจนถึงการสร้างประชาธิปไตยขั้นตอนสุดท้ายโดย ร.7 คือ ตั้งการปกครองเฉพาะกาล เช่น สภากรรมการองค์มนตรี และร่างรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล 12 มาตรา..เตรียมจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 วันฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี วันเปิดสะพานพุทธ..แต่ถูกบุคคลบางวงการทักท้วงให้ทรงพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบและถูกต้องสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยพระราชทานให้แก่ประชาชนต่อไป...ร.7 จึงทรงชะลอการโอนอำนาจให้ประชาชนและพระราชทานรัฐธรรมออกไป และต่อมาได้การรัฐประหาร 24 มิถุนายน 2475 ขึ้น...พระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์จึงสะดุดหยุดลงตั้งแต่บัดนี้นมาจนถึงบัดนี้...และเป็นเหตุให้ประเทสไทยสร้างประชาธิปไตยไม่แล้วเสร็จจนถึงบัดนี้...เพราะทำผิดกฎเกณฑ์การสร้างประชาธิปไตยของประเทศเอกราชเอเชีย 3 ประเทศ(จีน ไทย ญี่ปุ่น) คือ...พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้แก่ประชาชนโดยตรง ไม่ใช่การโค่นอำนาจพระมหากษัตริย์แบบยุโรป

ขบวนการประชาธิปไตย...ได้ถูกสืบทอดโดยนายประเสรฐ ทรัพย์สุนทร...ได้ประยุกต์แนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์...กับสถานการณ์แต่ละยุคแต่ละสมัย...แล้วเสนอให้ผู้ปกครองและประชาชนได้นำเอาไปยึดถือปฏิบัติ เช่น

- เสนอให้จอมพล ป. และอาจารย์ปรีดี ตั้งรัฐบาลแห่งชาติสร้างประชาธิปไตย นายประเสริฐเป็นผู้ประสานระหว่างทำเนียบมหาชัย(จอมพล ป.) กับ ทำเนียบท่าช้าง(อาจารย์ปรีดี)

- ได้ดึงเอาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ(พคท.)เข้ามาร่วมการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติตามแนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ โดยได้เซ็นสัญญากัน และร่วมกัน

- แต่พรรคคอมมิวนิสต์ฯ ไม่ยึดถือสัญญา กลับละทิ้งแนวทางประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ ไปยึดถือแนวทางรุนแรงของลัทธิเหมา...จึงเกิดการต่อสู้กับภายในพรรคอย่างรุนแรงระหว่าง..."พรรค..กับ..นายประเสริฐ" สุดท้ายพรรคส่งนายประเสริฐไปแก้ไขความคิดที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน(พคจ.) ที่วังโจหนานไห่สถาบันมาร์กซ์เลนิน...และได้ต่อสู้กันจนถึงที่สุด...คอมมิวนิสต์ไม่ยอมรับการปฏิวัติสันติของพระมหากษัตริย์ไทยที่สืบทอดโดยนายประเสริฐ...แต่ยึดถือแนวทางปฏิวัติรุนแรงของลัทธิเหมา ตามคำขวัญว่า.."ดัดแปลงโลกด้วยสงคราม ปฏิวัติรุนแรง อำนาจรัฐจากปากกระบอกปืน" นายประเสรฐ จึงกลับมาต่อสู้ในประเทศไทย...และได้เซ็นสัญญาลับกับ..."นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร..กับ..จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ รัฐไทย"...ร่วมกันต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ด้วยการปฏิวัติสันติ...นายประเสริฐเป็นข้าราชการที่ทำงานด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ ที่เป็นราชการลับตั้งแต่บัดนี้มา...มีหน้าที่ให้การศึกษาและให้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแก่ผู้ปกครองไทยให้ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์รุนแรง..โดยการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติตามแนวทาง ร.5 ร.6 ร.7

- ได้เสนอให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ไม่ใช่ความรุนแรงอย่างถึงที่สุดในการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ และใช้วิธีสันติต่อสู้เอาชนะ และได้เริ่มสร้างประชาธิปไตยคือ...

1. สร้างประชาธิปไตยทางด้านเศรษฐกิจ...คือ...ตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสงคมแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2503 - 2504 เป็นต้นมา
2. สร้างประชาธิปไตยทางด้านการเมือง..คือ..ตั้งสภาพัฒนาการเมือง...(แต่ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จ...จอมพลสฤษดิ์ก็ถึงแก่อสัญกรรมลงเสียก่อน เมื่อ พศ. 2506)

- ให้แนวทางประชาธิปไตยแก่รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เช่น การก่อตั้งพรรคสหประชาไทยอันเป็นพรรคประชาธิปไตย ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ตามคำขวัญว่า..."ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ ต้องสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ"..และ..."สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ...จะมีชัยชนะต่อคอมมิวนิสต์" และต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์อินโดจีน ด้วยกาปฏิเสธทฤษฎีโดมิโน(Domino Theory)ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นทฤษฎีแพ้...ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 110/2512 อันเป็นนโยบายเป็นกลางทางการเมืองในสงครามระหว่างประเทศ...ไม่ส่งทหารเข้าไปรบในเวียตนาม ลาว เขมร ตามที่ประธานาธิบดีจอร์นสันได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยดำเนินการ...ไทยถือนโยบายเป็นกลางทางการเมืองในสงครามกลางเมืองระหว่างประเทศตามสนธิสัญญากรงเฮก ค.ศ. 1890 - l907 และทำให้ไทยมีชัยชนะต่อคอมมิวนิสต์อินโดจีน ต่อมาเวียตนามได้ส่งกำลังเข้ามาในลาวและเขมรเพื่อช่วยยึดประเทศให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ในลาวแลเขมร และกำลังจะบุกยึดประเทศไทย...นายประเสริฐ ได้เสนอให้ไทยส่งทหารเข้าไปพบเติ้งเสี่ยวผิงที่ปักกิง ประเทศจีน...แจ้งให้ร้ว่า.."เวียตนามกำลังจะทำสงครามรุกรานบุกยึดประเทศไทย...ผิดต่อหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์กับประเทศทุนนิยม และผิดต่อหลักสากลนิยมชนกรรมาชีพ(Proletarian Internationalism) โดยทางไทยได้ส่งทหารไปพบเติ้งเสี้ยวผิงที่ปักกิ่งคือ...
1. พลตรีพัฒน์ อรรคนิบุตร
2. พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ ฯลฯ
เมื่อทางฝ่ายได้แจ้งแก่เติ้งเสี้ยวผิงแล้ว เติ้งเสี้ยวผิงจึงได้สั่งให้กองทัพจีน ส่งทหารจำนวนมาก..ทำสงครามที่เรียกว่า.."สงครามสั่งสอน" แก่เวียตนาม โดยบุกไปทางเหนือของเวียตนาม...ทำให้เวียตนามต้องถอนทหารจากเขมร-ลาว..ออกไปช่วยรบกับกองทัพจีนด้านเหนือของประเทศ...จึงทำให้เวียตนามไม่อาจจะบุกประเทศไทยยึดเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ได้จนกระทั่งบัดนี้

- จอมพลถนอม ทำผิดพลาดด้านการสร้างประชาธิปไตย...ด้วยการทำรัฐประหารตนเอง..ยกเลิกพรรคสหประชาไทยที่ทำการสร้างประชาธิปไตย เพราะฝ่ายต่อต้านได้เล่นงานจอมพลถนอมว่า..."จะให้คนๆเดียวเป็นรัฐได้อย่างไร...???" ซึ่งหมายถึงอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร นั่นเอง...และนายประเสริฐ ไม่ได้เข้าไปต่อสู้ภายในพรรคสหประชาไทย จึงไม่อาจจะต่อสู้รักษาพรรคฯไว้ได้ เพราะไม่มีใครอธิบายสู้ในพรรคฯ และในที่สุดจึงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จอมพลถนาม ประภาษ และนรงค์...จึงหนีออกนอกประเทศ...โดยไม่ทำหน้าที่รักษาการณ์รัฐบาล(ตามหน้าที่)...จึงเกิดสภาวะอนาธิปไตยอยู่ 2 วัน คือ ไม่มีรัฐบาล ไม่มีการปกครอง นั่นเอง

- ได้มีพระบรมราชโองการให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐซึ่งมีความรู้จักมักคุ้นกับนายสัญญา ธรรมศักดิ์อยู่นานแล้ว ในฐานะเป็นเลขารัฐมนตรีของคณะราษฎร กระทรวงศึกษาธิการ และอาจารย์ประเสริฐเป็นครูโรงเรียนสวนกุหลาบที่จอมพล ป.เรียกตัวไปใช้ทางการเมือง และเป็นสหธรรมิกร่วมกันก่อตั้งสวนโมกษ์กับท่านพุทธทาสภิกขุ ไชยา สุราษฎร์ธานี...นายประเสริฐจึงได้เสนอให้นายสัญญาสร้างประชาธิปไตย โดยอธิบายให้รู้จักากรสร้างประชาธิปไตย และให้รู้จักว่ารัฐบาลของนายสัญญาคือ "รัฐบาลเฉพะกาล" ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการณ์ หรือรัฐบาลขัดตาทัพแต่อย่างใดทั้งสิ้น รัฐบาลเฉพาะกาลมีหน้าที่สร้างประชาธิปไตย ไม่ใช่สร้างรัฐธรรมนูญแล้วออกไป แต่นายสัญญาไม่เข้าใจเพียงพอ...จึงสร้างประชาธิปไตยไม่ได้ พังไปในที่สุด

- นายประเสริฐ ได้นำเอาแนวทางประชาธิปไตย...ไปลงสู่ขบวนการกรรมกรไทย...โดย 2 มาตรกา คือ...

1. ตั้งพรรคแรงงาน(Labour Party) และพรรคแรงงานประชาธิปไตย
2. จัดประชุมที่สวนลุมพินี ให้ผู้ันำกรรมกรทั่วประเทศมาประชุมกัน...แล้วก่อตั้ง..."แนวทางแก้ไขปัญหาชาติของขบวนการกรรมกรไทย" เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 และได้เกิดแนวทางการเมืองของกรรมกรไทยในทางประชาธิปไตยตั้งแต่บัดนั้นมา

- ต่อมารัฐบาลพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ ได้รับเอาแนวทางประชาธิปไตยจากนายประเสริฐ ฝ่ายทางทหารประชาธิปไตย ซึ่งเอาแนวทางแก้ไขปัญหาชาติของกรรมกรไทย 26 กันยายน 2518 มาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์สงครามกลางเมือง เป็น..."นโยบาย 66/2523" อันลือลั่น ให้กองทัพแห่งชาติใช้ปฏิบัติต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ทั้ง 2 ขั้นตอนคือ...
*ขั้นตอนที่ 1 ต่อสู้เอาชนะสงคราม...ด้วยการสร้างประชาธิปไตยระดับต่ำ
*ขั้นตอนที่ 2 ต่อสู้เอาชนะพรรคและแนวร่วมคอมมิวนิสต์ ด้วยการยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหารทั้งสิ้น

กองทัพแห่งชาติ...ได้ปฏิบัตินโยบาย 66/23 ได้เพียงขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น มีผลยุติสงครามกลางเมือง(Civil War)ลงได้อย่างงดงาม นำประเทศชาติจากสถานการณ์สงคราม(War Situation)...มาเป็น...สถานการณ์สันติภาพ(Peaceful Situation) นำพลพรรคคอมมิวนิสต์กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย(ผรท)เพื่อเป็นพลังผลักดันการสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติให้แล้วเสร็จ

แต่กองทัพแห่งชาติและรัฐบาลพลเอกเปรม ก็ไม่สามารถปฏิบัติขั้นตอนที่ 2 ได้่เสร็จ...จึงทำให้คอมมิวนิสต์ก็ยังอยู่...คือ พรรค กับแนวร่วม ไม่มีเพียงกองทัพปลดแอกฯ และระบอบเผด็จการทั้ง 2 รูปยังอยู่ เมื่อรัฐบาลพลเอกเปรมกับกองทัพแห่งชาติปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 ไม่แล้วเสร็จ จึงเกิด 3 ปรากฏการณ์ คือ...

1. พลเอกเปรม ลาออกไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป คือ ไม่ปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 ให้แล้วเสร็จได้

2. พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง รักษาการณ์ ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. ออกมาตั้งพรรคความหวังใหม่เพื่อปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่ 2 ให้แล้วเสร็จ เพราะอยู่ในกองทัพฯไม่อาจจะปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่ 2 ได้อีกต่อไป
- ประชาชนโดยการชี้นำของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้นำเอาแนวทางประชาธิปไตย ร.5 ร.6 ร.7 และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 สร้างประชาธิปไตยระดับสูง...ตั้ง.."สภาปฏิวัติแห่งชาติ" ขึ้น...เพื่อทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย(Sovereignty of the people) เมื่อ พ.ศ. 2530 และได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง..."โอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ" เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2532 และได้แต่งตั้งมอบหมายให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานสภาปฏิวัติแห่งชาติ นำร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ ขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่..เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ถ้าทรงเห็นด้วยก็ทรงลงพระปรมาภิไธย ถ้าไม่ทรงเห็นด้วยก็หมดปัญหากันไป...แต่พลเอกเปรมเดินทางไปต่างประเทศโดยฉับพลันทันที...กรรมการสภาปฏิวัติแห่งชาติที่นำเอาร่างพระราชกฤษฎีกาไปให้พลเอกเปรมที่บ้านสี่เสาร์ฯ ก็ไม่พบพลเอกเปรม จึงฝากร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ไว้กับ ท.ส. ของพลเอกเปรม...แต่มาวันเดียวกัน...ตำรวจสันติบาลโดยรัฐบาลพลเอกชาติชาย..ได้เข้าจับกุมกรรมการสภาปฏิวัติแห่งชาติจำนวน 14 คน โดยมีนายประเสริฐ เป็นจำเลยที่ด้วย และได้ต่อสู้กันมาเป็นเวลา 5 ปี ศาลยุติธรรมได้พิพากษาให้ยกฟ้องสภาปฏิวัติแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2537 สภาปฏิวัติแห่งชาติจึงมีชัยชนะต่อเผด็จการรัฐสภาในศาลยุติธรรม ตั้งแต่บัดนั้นมา
ต่อมาอีก 4-6 เดือน นายประเสริฐ ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2537 ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ณ บ้านซอยตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เวลา 18.00 น.

ก่อนหน้านั้นหลังจากที่สภาปฏิวัติแห่งชาติถูกจับกุมเมื่อ พ.ศ. 2532 ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติโดยนายสมาน ศรีงาม...ได้ทำการเคลื่อนไหวนักศึกษารามคำแหง...นำนักศึกษาออกมาต่อสู้ผลักดันให้รัฐบาลชาติชายลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการโอนอำนาจให้ประชาชนตามที่สภาปฏิวัติแห่งชาติได้เสนอไว้...โดยได้ชุมนุมใหญ่ ณ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในนาม..."ศูนย์เฉพาะกิจนิสิตนักศึกษาแห่งชาติ...และสภานักศึกษาแห่งชาติ"...ได้ออกมาชุมนุมใหญ่ ณ ท้องสนามหลวงเป็นเวลา 2 เดือนเรียกร้องผลักดันให้โอนอำนาจให้แก่ประชาชน...โดยให้กรรมกรหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้บรรลุความสำเร็จของภารกิจการโอนอำนาจให้แก่ประชาชน...แต่กรรมกรรัฐวิสาหกิจไม่อาจจะทำการหยุดงานทั่วไปเพื่อสร้างประชาธิปไตยได้...จึงทำให้นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมอยู่ท้องสนามหลวงถูกจับกุมจำนวนเกือบ 20 คน นายสมาน ศรีงามถูกจับกุมด้วย และต่อมาได้ประกันตัวออกมาต่อสู้กันอีกครั้งหนึ่ง ในนาม.."องค์การนักศึกษาสร้างประชาธิปไตย" ได้ชุมนุมกันที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง และทำเนียบรัฐบาล...และเผาตัว..โดยนายธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ นักศึกษารามคำแหง..เสียชีวิตในเวลาต่อ...รัฐบาลเสนอศาลถอนประกันนายประเสริฐ นายสมาน ฯลฯ...และนายเสริฐ นายสมาน ถูกจับกุมในข้อหาทำลายความมั่นคงของรัฐ ม.116 และได้ต่อสู้กันถึง 3 ศาล ศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องจำเลยทั้ง 8 (นายเสริฐ เสียชีวิตคาคดีความ)

- ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ...ได้ทำความเคลื่อนไหวตลอดมา...เช่น

1. ปฏิบัติงานทางทฤษฎี ติดอาวุธทางปัญหาให้แก่ผู้กปครองและปรชาชน ด้วยลัทธิประชาธิปไตย

2. ผลักดันให้ก่อตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล สภาประชาชนฯ รัฐบาลแห่งชาติ สภาประชาธิปไตย สภาปรองดอง สภารู้รักสามัคคี ฯลฯ เพื่อโอนอำนาจให้เป็นของประชาชนตามแบบอย่างสภากรรมการองคมนตรี ร.7 ตามสภาปฏิวัติแห่งชาติ นโบาย 66/23
โดยผลักดันให้...

A. ให้เผด็จการรัฐสภาคืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย ตามแบบอย่างสภากรรมการองคมนตรี ร.7 หรือสภาปฏิวัติแห่งชาติที่ชนะคดีต่อเผด็จการรัฐสภามาแล้ว

B. เคลื่อนไหวผลักดันให้กองทัพแห่งชาติสร้างประชาธิปไตย ตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ต่อสู้เอาชนะเผด็จการทุกชนิด ทั้งเผด็จการรัฐสภา และเผด็ํจการคอมมิวนิสต์

C. ถวายฎีกาขอพระราชทานการปกครองเฉพาะกาล คือ สภาเฉพาะกาล รัฐบาลเฉพาะกาล สร้างประชาธิปไตย โดยทรงใช้กฎหมายสูงสุด(Supreme Law) ในฐานประมุขแห่งรัฐ องค์รัฎฐาธิปัตย์ และจอมทัพไทย ตามแบบอย่างสมเด็จพระปกเกล้า ร.7 และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476
C. ผลักดันให้ทุกรัฐบาลจากทุกพรรคการเมืองให้ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตย ตั้งสภาประชาชนฯ โอนอำนาจให้ประชาชน
- ปัจจุบัน..คือ..สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ ที่ได้ทำความเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ คือ...

1. ช่วยสนับสนุนส่งเสริมผลักดัน คสช.และกองทัพแห่งชาติอย่างปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น..ให้สามารถสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จโดย คสช.เองตามนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 คือ สร้างประชาธิปไตยระดับสูง ตามยุทธศาสตร์.."สถาบันกองทัพแห่งชาติสร้างประชาธิปไตย" สามารถต่อสู้เอาชนะเผด็จการทุกชนิด..ทั้งเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการคอมมิวนิสต์..และเผด็จการต่างชาติที่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย และรุกรานยึดครองประเทศไทยในด้านต่างๆมายาวนาน
เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความปลอดภัยของประชาชน ตามองค์คุณเอกภาพใหม่ของประเทศไทย 5 สถาบัน คือ... "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐประชาธิปไตย เศรษกิจใหม่พอเพียง"

2. สร้างสภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ...เคลื่อนไหวอย่างสันติอหิงสาพุทธทั้งทางความคิด ทางการเมือง และทางการจัดตั้งตามแนวทางประชาธิปไตย ร.5 ร.6 ร.7 ร.9 และนโยบาย 66/23...ให้เติบใหญ่เข้มแข็งโดยร่วมมือกับ คสช. กองทัพแห่งชาติ และประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าทุกอาชีพทุกชนชั้นทุกฝ่ายคนทไทยทุกคน...จนสามารถโอนอำนาจมาสู่ประชาชนได้สำเร็จอย่างสันติอหิงสาพุทธโดยสวัสดี อันเป็นการปฏิวัติสันติประเทสไทยและโลก(The Greatest Peaceful Revolution) ที่เป็นมนุษยปฏิวัติ(Human Revolution) ครั้งแรกของโลก...ทำให้เกิดสันติภาพโลกถาวร...นั่นคือ...ประเทศไทยนำโลกสร้างสันติภาพโลกถาวร(Lasting World Peace)ก้าวเข้าสู่โลกหลังยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นั่นเอง

คณะวิชาการและยุทธศาสตร์และการจัดตั้ง...องค์การนำใหม่สภาประปฏิวัติสันติแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
วันที่ 12 มิถุนายน 2557
โทร. 0898860868 (นายสมาน ศรีงาม)